ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าตำรวจไทยเจอต้องทำอย่างไรที่มาของภาพ, Getty Imagesคำบรรยายภาพ, ในจีนและไต้หวัน บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งไม่ผิดกฎหมาย1 กุมภาพันธ์ 2023, 10:20 +07ข่าวตำรวจรีดไถเงิน อัน อวี๋ฉิง ดาราสาวไต้หวัน ช่วงที่เธอเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ด้วยข้ออ้างว่า เธอพกบุหรี่ไฟฟ้า แต่กลับกลายเป็นการเรียกรับเงิน 27,000 บาท แต่ไม่ได้ออกใบสั่งปรับข้อหาครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าแต่อย่างใด ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า การถือครองบุหรี่ไฟฟ้า ผิดกฎหมายหรือไม่

“เพื่อนของฉัน (คนสิงคโปร์) พอรู้ภาษาไทย เลยไปคุยกับตำรวจ ฉันอยู่ตรงนั้นตลอด แต่ฉันไม่ค่อยเข้าใจภาษา เพื่อนฉันบอกว่า ตำรวจต้องการเงิน 27,000 บาท” แต่สิ่งที่ อัน อวี๋ฉิง หรือ ชาลีน อัน ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย พร้อมเสริมว่า เมื่อให้เงินไปแล้ว กลับกลายเป็นว่า ตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้ามายัดใส่มือเธอแล้วถ่ายรูป

“ฉันไม่มีบุหรี่ไฟฟ้าอยู่กับตัวเวลานั้น คนอื่นมีหรือเปล่าฉันไม่รู้…แล้วฉันก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้านั่นไม่ใช่ของฉัน เพราะตำรวจลบภาพและวิดีโอไปหมด”

“สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ คือ ฉันต้องให้ความร่วมมือ … เราอาจกระทำอะไรผิดพลาดไปโดยไม่ตั้งใจก็ได้ แต่ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยี ทำไมตำรวจไม่ใช้ Google Translate ช่วยแปลภาษา ทำไมไม่ออกใบสั่งมาอย่างถูกต้อง”
“ฉันไม่ใช่วีรสตรี ไม่ได้อยากสู้กับตำรวจไทย”สรุปดรามาดาราสาวไต้หวันถูกตำรวจรีดไถเงิน 27,000 บาท ประกาศ “ไม่เหยียบไทยอีก”เที่ยวแบบ VVIP : ปมจ้างตำรวจไทยนำขบวน นทท. จีน สะท้อนภาพปราบโกงล้มเหลวหรือไม่ตอนนี้ กองบังคับการตำรวจนครบาลได้สั่งสอบสวนทางวินัยและคดีอาญา ข้าราชการตำรวจ 7 นาย ฐานไม่บังคับใช้กฎหมายอาญา มาตรา 157 คือ “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” ว่าด้วยการไม่จับกุมกรณีถือครองบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ใช่การรีดไถเงินนักท่องเที่ยวเบื้องต้น ได้ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 โดยขาดจากตำแหน่งเดิม 7 นายด้วยกัน บีบีซีไทยตรวจสอบข้อกฎหมายต่าง ๆ ทั้งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้บริโภค, พ.ร.บ.ศุลกากร, และประกาศกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ยังไม่มีมาตราใดที่กำหนดความผิดฐาน “ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า” โดยตรง แต่ตำรวจและอัยการ สามารถใช้ความผิดจากมาตราอื่น เพื่อดำเนินความผิดผู้ครอบครองได้

กลุ่มผู้สนับสนุนให้เปิดเสรีบุหรี่ไฟฟ้า จึงมองว่า ความกำกวมด้านกฎหมายนี้เอง ที่เปิดช่องให้ตำรวจกระทำการทุจริต เรียกเงินจากประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นข้ออ้าง
บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายหรือไม่การจำหน่าย: คำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 ระบุห้ามขาย ห้ามให้บริการบารากุ บารากุไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า และน้ำยาเติมของทั้งสองชนิด โดยระบุว่าพบสารเคมีที่เป็นอันตรายหลายชนิด รวมถึงการสูบร่วมกันอาจทำให้เกิดโรคติดต่อ ดังนั้น สำหรับผู้ขายนั้น ให้มีความผิดและโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากเป็นผู้ประกอบธุรกิจในฐานะผู้ผลิต ผู้สั่ง หรือผู้ที่นำเข้ามาเพื่อขาย ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การครอบครอง: ทนายรณรงค์ แก้วเพชร ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า การมีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครอง ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย เพราะเป็นของต้องห้ามนำเข้า ผู้ใดรับไว้โดยประการใดซึ่งของที่ต้องห้ามนำเข้า มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับ 4 เท่าของราคา พร้อมภาษีที่ยังไม่ได้จ่าย ตามพระราชบัญญัติศุลกากร
การนำเข้า: ประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2557 ให้กรมศุลกากรตรวจจับ หากผู้ใดนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า หรือน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าจะต้องรับผิดตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอก และการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 มาตรา 20 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่าของสินค้าที่นำเข้าหรือส่งออก หรือทั้งจำทั้งปรับ
การขาย: ห้ามให้บริการตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2558 ผู้ใดฝ่าฝืนขายบุหรี่ไฟฟ้า จะต้องรับผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 (ฉบับที่ 3) มาตรา 56 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และในกรณีที่ผู้นำเข้าและผู้ขายเป็นคนเดียวกัน จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่มาของภาพ, .คำบรรยายภาพ, ภาพที่สำนักข่าวหลายแห่งรายงานว่าเป็นบุหรี่ไฟฟ้า ขณะที่ ชาลีน อัน บอกกับบีบีซีไทยว่า ตำรวจยัดบุหรี่ไฟฟ้าให้เธอ ก่อนบันทึกภาพการสูบในที่สาธารณะ: มีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560
การครอบครอง:
หากพบบุคคลใดว่าครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ตำรวจสามารถใช้มาตรา 246 ว่าด้วย ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ ซึ่งของที่รู้ว่าเป็นความผิดตามมาตรา 242 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 4 เท่าของราคาของ หรือทั้งจำทั้งปรับ

ดังนั้น การนำเข้า การผลิต การจำหน่าย ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายชัดเจน แต่ส่วนของผู้ครอบครองและใช้บุหรี่ไฟฟ้า แม้จะไม่มีความผิดโดยตรง แต่ก็จะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 246 ตามดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย

นานาประเทศ บุหรี่ไฟฟ้าถือว่าถูกกฎหมายเว็บไซต์ OkVape รวบรวมประเทศที่บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่อาจมีข้อจำกัดตามแต่กฎหมายของประเทศต่าง ๆ โดยปัจจุบัน มีราว 50 ประเทศ/ดินแดน ที่บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย รวมถึง ญี่ปุ่น อิตาลี นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก จีน แคนาดา ฝรั่งเศศ เกาหลีใต้ และไต้หวัน

ส่วนประเทศที่มีข้อจำกัดทางกฎหมายที่ต้องตรวจสอบ คือ สหรัฐฯ เพราะแต่ละรัฐมีกฎหมายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าไม่เหมือนกัน ขณะที่มาเลเซียนั้น บุหรี่ไฟฟ้าไม่เป็นสิ่งผิดกฎหมายตราบใดที่ไม่มีสารนิโคติน

ส่วนประเทศที่บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย OKVape ระบุว่า ไทย เป็นหนึ่งใน 26 ประเทศที่กำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ บรูไน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชา
สั่งย้าย 7 ตำรวจ เพราะไม่จับบุหรี่ไฟฟ้าวานนี้ (31 ม.ค. 2566) พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 ได้เซ็นคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการ โดยระบุว่า ตามที่ได้ปรากฏการเผยแพร่ภาพวิดีโอในสื่อสังคมออนไลน์ กรณี นักท่องเที่ยวชาวไต้หวันได้ลงข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ ว่า ได้นั่งรถยนต์โดยสารสาธารณะ (แท็กซี่) กับเพื่อน เพื่อเดินทางกลับโรงแรมที่พัก ระหว่างท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ของวันที่ 5 ม.ค. 2566 ประมาณ 02.00 น.

พวกเธอได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจหน้าสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ได้เรียกตรวจคันและพบว่ามีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง แล้วเรียกรับเงินสด จำนวน 27,000 บาท แล้วปล่อยตัวไป ไม่ดำเนินคดีตามกฎหมาย
ที่มาของภาพ, Getty Imagesคำบรรยายภาพ, ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ถือว่าบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย แต่การบังคับใช้กำกวมกองบังคับการตำรวจนครบาล ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ผลการตรวจสอบปรากฏว่า มีมูลเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เกี่ยวข้องมีการตรวจพบบุหรี่ไฟฟ้า แต่ไม่ดำเนินการตรวจยึดเพื่อตรวจสอบหรือจับกุม ซึ่งเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษเป็นคดีอาญาสถานีตำรวจนครบาลห้วยประเทศไทยขวาง ฐานความผิด “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” อันเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และกองบังคับการตำรวจนครบาล ได้มีคำสั่งที่ 30/2566 ลงวันที่ 30 มกราคม 2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย เพื่อสอบสวนกรณีดังกล่าว แล้วนั้น

ดังนั้น เพื่อมีให้กระทบต่อการดำเนินการสอบสวนทางวินัยและคดีอาญา รวมถึงมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ จึงให้ข้าราชการตำรวจที่ มีรายชื่อดังต่อไปนี้ ปฏิบัติราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ ตามที่ผู้บังคับการตำรวจนครบาลได้มอบหมาย ประกอบด้วย

ร.ต.อ. ยอดฤทธิ์ ลางดุลเสน รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ร.ต.อ. ปฏิภาณ ศิริชัยวัฒนา รองสารวัตรอำนวยการ สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ด.ต. อธิเวช จุลพันธ์ ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ด.ต. กฤษฎา คำมะนา ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ส.ต.อ. เฉลิมชัย ศิริวังโส ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ส.ต.อ. วัชรนนท์ ขาวยอง ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลหัวยขวาง
ส.ต.อ. นันทวัชร์ สุวรรณา ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ผู้ช่วยพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ที่มาของภาพ, PAตัวแทนกลุ่มผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า หรือ อีซีเอสที ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก มองว่า กรณีดาราสาวไต้หวันถูกรีดไถเงิน เพราะถูกยัดข้อหาครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ไม่เหมาะสมและตั้งคำถามว่ามีการทุจริตเรียกรับเงินหรือไม่ การแก้ปัญหาอาจเป็นการให้บุหรี่ไฟฟ้าเป้นเรื่องถูกกฎหมาย “นำขึ้นมาบนดิน”

นายมาริษ กรัณยวัฒน์ หนึ่งในผู้แทนจากกลุ่มผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ให้สัมภาณ์ไทยรัฐออนไลน์ว่า “การตีความทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า บุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าหลบเลี่ยงภาษี ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่เสียภาษีไม่ได้ เมื่อมีการตีความออกมาในรูปแบบดังกล่าว จึงทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมายว่าจะเป็นเรื่องการติดสินบน หรือมีการจับกุมผู้ที่จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า เพราะกฎหมายห้ามไม่ให้นำเข้าตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น แต่ไม่มีความชัดเจนเรื่องความผิดฐานครอบครองและใช้ ก่อนหน้านี้ก็มีอีกหลายเคสที่ถูกเจ้าหน้าที่เรียกเก็บเงินหลักหมื่นถึงหลักแสน ทั้งกรณีนักท่องเที่ยวฝรั่งเศส มาเลเซีย อิสราเอล หรือแม้แต่คนไทยกันเอง”

ส่วนกฎหมายในกรณีการถือครองนั้น นายมาริษ มองว่า สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ก็มีการออกประกาศห้ามผลิต ห้ามจำหน่าย และห้ามนำออกให้บริการ ขณะที่ผู้ซื้อยังไม่มีการเอาผิดในด้านของกฎหมาย ตามการตีความโดยกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงทำให้มีความลักลั่นในด้านของการบังคับใช้กฎหมาย

ชายสิงคโปร์อ้างตำรวจไทยข่มขู่ให้จ่าย 2.7 หมื่น ฐานพกบุหรี่ไฟฟ้าแลกติดคุกที่มาของภาพ, Thai News Pixคำบรรยายภาพ, “สกาย” ชายสิงคโปร์ ที่อยู่ในเหตุการณ์กับ ชาลีน อัน นักแสดงสาวไต้หวันเมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว“สกาย” ชายสิงคโปร์ เพื่อนดาราสาวไต้หวัน ที่เป็นคนเจรจากับตำรวจที่ด่านตรวจ เผย ถูกตำรวจไทย “ข่มขู่” และให้จ่ายเงิน เพื่อไม่ต้องไป “โรงพัก-เข้าคุก” เป็นเงิน 27,000 บาท หลังตำรวจพบว่าเขาพกบุหรี่ไฟฟ้า ยืนยัน ดาราสาวไต้หวันไม่ได้พกไปในคืนวันนั้น

วันนี้ (1 ก.พ. 2566) นาย “สกาย” เพื่อนของ อัน อวี๋ฉิง หรือ ชาลีน อัน ดาราสาวไต้หวันที่เปิดเผยว่า ถูกตำรวจไทยรีดไถเงินเธอกับเพื่อน ๆ รวม 27,000 บาท ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวจากมุมมองของเขา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย เป็นผู้ “ควักเงินส่วนตัว” จองตั๋วเครื่องบินให้นายสกาย เดินทางมาไทยจากสิงคโปร์ เพื่อแถลงข่าวชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด

สกาย เล่าว่า ไปเที่ยวไนต์คลับกับชาลีน อัน ก่อนจะเรียกรถแกร็บเพื่อเดินทางไปต่อย่านห้วยขวาง แต่กลับเจอด่านตำรวจระหว่างทาง และตำรวจเรียกให้เขาและเพื่อน ๆ ลงจากรถ

“ตำรวจบอกว่าอยากตรวจค้น เอาไฟฉายส่อง… เขาจับกระเป๋าตามตัวผม ผมก็เอาสิ่งของให้ดูทั้งหมด เขาบอกให้ผมถอดรองเท้า แล้วขอดูหนังสือเดินทาง ซึ่งผมไม่ได้เอาไป” สกาย แถลงข่าวเป็นภาษาไทย ที่เขาระบุว่า พูดได้ในระดับที่สื่อสารได้ เพราะเดินทางมาไทยบ่อยครั้ง

นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ยอมรับว่า เขาพกบุหรี่ไฟฟ้าไปด้วย เช่นเดียวกับเพื่อนอีกสองคน แต่ ชาลีน อัน ไม่ได้พกบุหรี่ไฟฟ้าไปด้วยในคืนนั้น แม้ว่าเธอจะสูบบุหรี่ไฟฟ้าบ้าง สรุปแล้ว กลุ่มเพื่อนของเขา รวมชาลีน อัน มีอยู่ด้วยกัน 4 คน พกพาบุหรี่ไฟฟ้า 3 แท่ง และไม่ได้พกพาหนังสือเดินทาง
“ฉันไม่ใช่วีรสตรี ไม่ได้อยากสู้กับตำรวจไทย”เที่ยวแบบ VVIP : ปมจ้างตำรวจไทยนำขบวน นทท. จีน สะท้อนภาพปราบโกงล้มเหลวหรือไม่ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าตำรวจไทยเจอต้องทำอย่างไรสกาย เล่าต่อว่า ตำรวจได้นำบุหรี่ไฟฟ้าไป แต่เมื่อชาลีน อัน พยายามถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์มือถือ ตำรวจมีท่าทีเปลี่ยนไป และมีท่าทีเชิงข่มขู่ว่า “คุณมีบุหรี่ไฟฟ้า พวกคุณต้องไปสถานีตำรวจ และอาจต้องติดคุกอย่างน้อย 2 วัน”

ในเวลานั้น มีตำรวจ 3 คนที่ สกาย ต้องเจรจาด้วย เพราะเป็นบุคคลในเดียวในกลุ่มที่พอจะพูดภาษาไทยได้ โดยตำรวจนายหนึ่ง ไม่ได้สวมเครื่องแบบ

สกาย จึงสอบถามตำรวจว่า “จะให้พวกเราทำอย่างไร” เพราะเขาไม่ได้พกหนังสือเดินทางมา แต่ด้วยความที่เป็นคนสิงคโปร์ ไม่ต้องใช้วีซ่าก็สามารถพำนักในไทยได้ไม่เกิน 30 วัน แต่ตำรวจไม่ยอม ระบุว่าต้องมีหนังสือเดินทางตัวจริง จากนั้น ตำรวจจึงระบุว่า “ขอคุยกับตำรวจยศใหญ่ก่อน”
ที่มาของภาพ, Thai News Pixคำบรรยายภาพ, นายชูวิทย์ เป็นผู้เชิญให้สกายมาแถลงข่าวในครั้งนี้“เขาก็กลับมาบอกว่า บุหรี่ไฟฟ้ามี 3 แท่ง ต้องจ่ายแท่งละ 8 พันบาท และเมื่อรวมกับการไม่มีหนังสือเดินทาง รวมเป็น 27,000 บาท” สกาย ย้อนบทสนทนาของเขากับตำรวจเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2566 “ผมก็บอกโอเค”

ภายหลังการแถลงข่าวร่วมกับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์, นายกายจะเข้าให้ปากคำกับตำรวจ ถึงสิ่งที่เขาและเพื่อน ๆ เจอ เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการดำเนินคดี

อย่างไรก็ตาม ในส่วนการดำเนินคดีกับนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ในฐานะผู้ให้สินบนนั้น ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในขณะนี้ เนื่องจากการจะดำเนินคดีในข้อหานี้ได้ นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ต้องอยู่ในฐานะผู้เสนอให้สินบนเจ้าพนักงาน ไม่ได้ถูกข่มขู่บังคับ ดังนั้น การสอบปากคำนักท่องเที่ยวสิงคโปร์จึงสำคัญมาก และเป็นการสอบปากคำในฐานะพยาน โดยทีมสอบสวนได้เตรียมรูปถ่าย ตำรวจชุดตั้งด่านในวันเกิดเหตุทั้ง 14 นาย ให้ผู้เสียหายชี้ใน 3 ประเด็นหลัก ๆ คือ จ่ายเงินให้กับใคร, ใน 14 คนนี้มีใครบังคับขู่เข็นเรียกเงิน, และมีใครมีส่วนรู้เห็นจาการรีดรับเงินในครั้งนี้บ้าง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ สกาย, ชาลีน อัน, และเพื่อนอีก 2 คนสกาย เล่าว่า เขาเดินทางมาไทยบ่อยครั้ง ครั้งล่าสุด เดินทางมาอยู่ไทยตั้งแต่ 25 ธ.ค. 2565 เพื่อท่องเที่ยวไปจนถึงช่วงปีใหม่ ด้วยสถานะพลเมืองสิงคโปร์ เขาจึงไม่ต้องทำวีซ่า เพื่อพำนักไม่เกิน 30 วัน

ดังนั้น เขาจึงไม่เข้าใจว่า ทำไมตำรวจไทยที่พวกเขาเจอที่ด่านในคืนวันที่ 5 ม.ค. 2566 จึงคะยั้นคะยอจะดูหนังสือเดินทาง และตรวจว่าเขามีวีซ่าหรือไม่

ส่วนการครอบครองบุหรี่ไฟฟ้านั้น เขายอมรับว่า ไม่ทราบเลยว่าการซื้อและครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าในไทยเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เพราะไม่เคยมีประกาศแจ้งนักท่องเที่ยว
ที่มาของภาพ, BBC Thaiคำบรรยายภาพ, ชาลีน อัน หรือ อัน อวี๋ฉิง นักแสดงสาวไต้หวัน“ถ้าบอกบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย ทำไมที่ตลาดขายได้ เพราะผมซื้อที่ห้วยขวาง และเห็นขายทั่วไป ทุกคนก็ใช้อยู่ ไม่เห็นมีปัญหา” สกาย กล่าว

“กัญชายังเปิดร้านขายได้เลย ทำไมบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย” เขาบอกว่า เมื่อพูดถึงตรงนี้ ตำรวจที่เขาพูดคุยอยู่มีท่าที “โมโห” ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สกายจึงพยายามเจรจาอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยว่า “ขอโอกาสพวกเขาได้ไหม” แต่ตำรวจตอบกลับว่า “ไม่ได้ ต้องไปโรงพัก” พร้อมขู่ว่า ถ้าไปโรงพักจะต้องถูกจับขังคุกอย่างน้อย 2 วัน

สถานการณ์จึงเป็นในลักษณะที่นายชูวิทย์สรุปว่า ตำรวจข่มขู่นักท่องเที่ยวชาวไต้หวันและสิงคโปร์ว่า จะถูกจับขังหากไปที่สถานีตำรวจ และเมื่อ สกาย ถามว่า “แล้วจะต้องทำยังไง” ตำรวจจึงเรียกรับเงินสำหรับนักท่องเที่ยว 4 คน บุหรี่ไฟฟ้า 3 แท่ง และไม่มีหนังสือเดินทาง เป็นเงิน 27,000 บาท
ที่มาของภาพ, Thai News Pixคำบรรยายภาพ, ชูวิทย์ ก้มโค้ง “ขอโทษแทนตำรวจไทย”แต่พฤติการณ์ที่น่าสงสัยของตำรวจ คือ ให้ สกาย นับเงิน พร้อมชี้ไปทางบริเวณสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อให้สังเกตกล้องวงจรปิด แต่เมื่อกำลังจะยื่นเงินให้ ตำรวจทำท่าทางให้สกาย และเพื่อน ๆ ยืนบังทิศทางของกล้องวงจรปิด เพื่อไม่ให้เห็นพฤติการณ์รับเงินของตำรวจ

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา สอดคล้องกับที่ ชาลีน อัน ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยก่อนหน้านี้ คือ “ตำรวจเก็บเงินไป แล้วยื่นบุหรี่ไฟฟ้า (ของเขาและเพื่อน) ให้ผมแล้วถ่ายรูป ยื่นให้ชาลีน และคนอื่น ๆ แล้วถ่ายรูปด้วย” โดยสกายเสริมว่า ในขณะนั้น ชาลีน อัน มีท่าทางเหนื่อยและเครียดมาก

“ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องให้เงิน ถ้าผมมีทางเลือกผมคงไม่ทำหรอก” สกาประเทศไทยย ยอมรับว่า ถูกข่มขู่ให้จ่ายเงินสินบนแก่ตำรวจ
ทำไมถึงไปห้วยขวางต่อการแถลงข่าวของ สกาย สอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ของชาลีน อัน กับบีบีซีไทย ที่เธอยืนกรานว่า ไม่ได้พกบุหรี่ไฟฟ้าออกไปด้วยในวันนั้น แต่เธอไม่เคยปฏิเสธว่า ไม่เคยครอบครองและสูบบุหรี่ไฟฟ้า

ชาลีน อัน ยังให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยถึงกรณีปรากฎภาพเธอและเพื่อน ๆ ไปเดินตลาดกลางคืนที่ห้วยขวาง ว่า เธอไปเดินตลาดกลางคืนแถวห้วยขวางต่อจริง เพราะวางแผนจะไปทานอาหารที่ร้านอาหารในแถบนั้นอยู่แล้ว และตลาดแห่งนั้นก็อยู่ใกล้กับร้านอาหาร

ข้อมูลจากสกายทำให้สถานการณ์ชัดเจนขึ้น โดยสกายเล่าว่า ชาลีน อัน “รู้สึกโกรธมาก” จึงอยากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อที่ห้วยขวาง ซึ่งเขาได้ตามไปสมทบภายหลังนั่งแท็กซี่ไปส่งเพื่อนที่โรงแรม

ในกลุ่มเพื่อนราว 10 คน รวมถึงชาลีน อัน และสกาย ด้วย มีคนไทยที่เขาเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง ซึ่งคนไทยแนะนำว่า ครั้งหน้าอย่าพกเงินสดเยอะ และให้พกพาหนังสือเดินทาง เพื่อไม่ให้ตำรวจรีดไถเงินได้เช่นนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ต่อมา ชาลีน อัน ได้นำไปโพสต์ในอินสตาแกรม และกลายเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมไทยในเวลาต่อมา
ที่มาของภาพ, .คำบรรยายภาพ, ชาลีน อัน ไปแถวห้วยขวางต่อหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสกาย ยังเปรียบเทียบว่า สถานการณ์ที่พวกเขาเจอนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่เคยเจอมาก่อน ในสิงคโปร์เอง เขาก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ และยอมรับว่า การกระทำของตำรวจไทยกับพวกเขา “ไม่มีเหตุผล” และทำให้เขา “กลัว”

ภายหลังการแถลงข่าว นายชูวิทย์ ได้โค้งและกล่าวขอโทษ สกาย แทน “ตำรวจไทย” ส่วนกรณีบุหรี่ไฟฟ้านั้น นายชูวิทย์ ระบุว่า “ชาวต่างชาติเขาจะรู้ไหม ก็เปิดขายกันทั่วไปตลาดห้วยขวาง ทองหล่อก็มี ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลให้ขายได้ยังไง”
มาตรการของตำรวจจนถึงตอนนี้ ผบ.ตร. ได้เซ็นย้าย ผกก.สน.ห้วยขวาง เพื่อเปิดทางให้กรรมการสอบสวนดำเนินการได้เต็มที่ และเป็นการลงโทษทางปกครองในฐานะ “เป็นหัวหน้าสถานีไม่สามารถควบคุมกำกับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาในสังกัด”

และวานนี้ (31 ม.ค.) พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 ได้เซ็นคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการ จำนวน 5 นาย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตั้งด่านที่ สกาย และ ชาลีน อัน เผชิญในเช้ามืดวันที่ 5 ม.ค. โดยมีรายชื่อดังนี้

ร.ต.อ. ยอดฤทธิ์ ลางดุลเสน รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ร.ต.อ. ปฏิภาณ ศิริชัยวัฒนา รองสารวัตรอำนวยการ สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ด.ต. อธิเวช จุลพันธ์ ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ด.ต. กฤษฎา คำมะนา ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ส.ต.อ. เฉลิมชัย ศิริวังโส ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ส.ต.อ. วัชรนนท์ ขาวยอง ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลหัวยขวาง
ส.ต.อ. นันทวัชร์ สุวรรณา ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ผู้ช่วยพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ที่มาของภาพ, Thai News Pixคำบรรยายภาพ, ชูวิทย์นำปี๊บมาเพื่อให้ตำรวจ “คลุมศีรษะ”อย่างไรก็ดี นายชูวิทย์ วิพากษ์วิจารณ์ตำรวจนครบาลอย่างรุนแรงว่า เป็นการลงโทษตำรวจชั้นผู้น้อยของนายตำรวจระดับสูง เพื่อปกป้องตำแหน่งของตนเอง

“ตำรวจไม่ได้ปกป้องประเทศชาติ ปกป้องตัวเอง ปกป้องตำแหน่ง ลงโทษแต่ตำรวจชั้นผู้น้อย”
ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย ? การนำเข้ามา หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร หรือเคลื่อนย้ายของออกโดยไม่ได้รับอนุญาต จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 4 เท่าของราคา หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของทันที ตามกฎหมายมาตรา 242 ใน พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560

หากพบบุคคลใดว่าครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ตำรวจสามารถใช้มาตรา 246 ว่าด้วย ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ ซึ่งของที่รู้ว่าเป็นความผิดตามมาตรา 242 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 4 เท่าของราคาของ หรือทั้งจำทั้งปรับ

ดังนั้น การนำเข้า การผลิต การจำหน่าย ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายชัดเจน แต่ส่วนของผู้ครอบครองและใช้บุหรี่ไฟฟ้า แม้จะไม่มีความผิดโดยตรง แต่ก็จะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 246 ตามดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย

2 ปีรัฐประหารเมียนมา : 4 เรื่องราวของพลเรือนที่ถูกกระทบ และทหารที่รักษาอำนาจที่มาของภาพ, Reutersคำบรรยายภาพ, ฮาน เลย์ มิสแกรนด์เมียนมา 2020 วัย 23 ปี ที่เริ่มชีวิตใหม่ในแคนาดา1 กุมภาพันธ์ 20231 ก.พ. 2021 พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของนางออง ซาน ซู จี ควบคุมตัวเธอและนักการเมืองพลเรือนอีกหลายคนทหารอ้างเหตุ “ความไม่มั่นคงทางการเมือง” หลัง “พบความผิดปกติในการลงทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไป” แต่งตั้ง พล.อ. มินต์ ส่วย รองประธานาธิบดี เป็นประธานาธิบดีรักษาการผ่านไป 2 ปี เมียนมาเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง การสูญเสียชีวิต และการพลัดถิ่นอาศัยAcled หน่วยงานในสหรัฐฯ ที่เฝ้าสังเกตความขัดแย้งของโลกระบุว่า มีผู้เสียชีวิตราว 1.9 หมื่นคนในเมียนมา หลังการปราบปรามผู้เห็นต่างจากรัฐบาลเผด็จการ นำไปสู่การจับอาวุธสู้กับกองทัพ หน่วยงานของสหประชาชาติกล่าวหารัฐบาลทหารเมียนมาว่าก่ออาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และชี้ว่ามีผู้คนราว 1.2 ล้านคนต้องพลัดถิ่น ในจำนวนนั้นกว่า 7 หมื่นคน ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วรัฐบาลชาติตะวันตกคว่ำบาตรผู้เกี่ยวข้องกับนายทหารที่ก่อการรัฐประหารและสังหารประชาชน รวมทั้งเรียกร้องให้ภาคเอกชนเลิกทำธุรกิจกับรัฐเผด็จการ และไม่คบค้ากับบริษัทเอกชนที่ค้าขายกับระบอบเผด็จการในเมียนมา ซึ่งรวมถึงการที่กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ได้ประกาศ ถอนการลงทุน จาก บมจ. ปตท. หรือ PTT และ บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR ฐานเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่รัฐบาล-กองทัพเมียนมา เป็นเจ้าของ อดีต จนท. ยูเอ็นชี้ เอกชนหลายชาติช่วยเมียนมาผลิตอาวุธปราบประชาชนรัฐประหารเมียนมา: 1 ปีผ่านกับงานการทูตที่ไทยเลือกแสดง“ถ้าฉันได้ยิงก่อน ฉันจะฆ่าแกไอ้ลูกชาย”บีบีซีไทย เลือกเรื่องราวของผู้คนที่พลัดถิ่นจากการปราบปรามสังหารประชาชน และการรักษาอำนาจของผู้นำเผด็จการ ผ่านภาพเหล่านี้ 1.      ฮาน เลย์ มิสแกรนด์เมียนมา 2020 วัย 23 ปี ที่เริ่มชีวิตใหม่ในแคนาดากับครอบครัวผู้อพยพเชื้อสายเมียนมา หลังมาลี้ภัยชั่วคราวในไทย จนถูกตำรวจไทยคุมตัวไว้ชั่วคราวที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อ 21 ก.ย. 2022 โดยเธอได้รับแจ้งว่าอยู่ในรายชื่อบุคคลที่ต้องการตัวของตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพลรอยเตอร์รายงานขณะนั้นว่าเธอถูกห้ามเข้าไทยเมื่อ 21 ก.ย. หลังกลับจากเวียดนาม โดยอ้างว่าเธอใช้หนังสือเดินทางไม่ถูกต้อง ส่วนตัวเธอบอกกับบีบีซีแผนกภาษาพม่าว่าทางการเมียนมาแจ้งต่อทางการเวียดนามว่าหนังสือเดินทางของเธอสูญหาย และเมื่อเธอมาถึงไทย เธอก็ถูกห้ามเข้าประเทศ ในเวลาต่อมา ไม่กี่วันต่อมา เธอได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลแคนาดาให้ลี้ภัยทางการเมือง   ที่มาของภาพ, Reutersคำบรรยายภาพ, ฮาน เลย์ กับบ้านใหม่ในแคนาดา2.    จอ ซา มิน เอกอัครราชทูตเมียนมรัฐประหารเมียนมาาประจำสหราชอาณาจักร ถูกปลดจากตำแหน่งเมื่อ 7 เม.ย. 2021 หลังผู้ช่วยทูตทหารได้เข้ายึดสถานทูตเมียนมาในกรุงลอนดอน และห้ามไม่ให้เขาเข้าไปในสถานทูต ซึ่งเป็นเหตุการณ์เผชิญหน้าทางการทูตในรอบหนึ่งเดือนหลังจากนายจ่อ ซา มิน แสดงท่าทีเห็นต่างจากรัฐบาลทหารด้วยการออกมาเรียกร้องให้ปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ผู้นำรัฐบาลพลเรือนที่ถูกกองทัพยึดอำนาจและจับกุมตัวไปผ่านไปเกือบ 2 ปี เขายังพำนักอยู่ในทำเนียบทูตในกรุงลอนดอนที่มาของภาพ, Reutersคำบรรยายภาพ,  จอ ซา มิน เอกอัครราชทูตเมียนมาประจำสหราชอาณาจักร3.  ครูมัธยมต้นคนหนึ่งที่ไม่ขอเปิดเผยตัว เธอหลบหนีการจับกุมในเมียนมาร์เมื่อปีที่แล้วมาอาศัยอยู่ที่เมืองชายแดนไทย เธอเป็นหญิงตัวเล็กผมยาวสีดำ เธอเข้าร่วมกับแนวร่วมอารยะขัดขืน หรือ CDM ที่ผุดขึ้นหลังรัฐประหาร “ฉันรู้ว่าชีวิตฉันจะลำบากถ้าฉันเข้าร่วมกับขบวนการ” เธอกล่าวกับรอยเตอร์  “แต่ถ้าเราไม่ลุกขึ้นสู้ อนาคตของพวกเราก็จะไม่ปกติ”เธอเข้าร่วมการประท้วงบนท้องถนนโดยเครื่องแบบครูสีเขียวและสีขาว แล้วหลบหนีออกนอกประเทศหลังการปราบปรามผู้ประท้วง เช่นเดียวกับผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาจำนวนมากในประเทศไทย เธอไม่มีเอกสาร และใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อการถูกจับกุมเธอประทังชีพด้วยการถักกระเป๋าและเสื้อผ้า มีรายได้ไม่ถึงสัปดาห์ละ 350 บาท  และต้องอาศัยอาหารที่บริจาคมาจากรัฐบาลของฝ่ายต่อต้าน“ฉันจะเป็นสมาชิก CDM ไปจนจบ” เธอกล่าว “มนุษย์ต้องผ่านทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายไปให้ได้”เครื่องแบบครูสีเขียวและสีขาวของเธอถูกพับเก็บไว้อย่างเรียบร้อยในเมียนมา เผื่อเธอกลับไปรัฐประหารเมียนมา เหมือนหรือต่างกับลายพรางยึดอำนาจในไทยพบทรัพย์สินลูก มิน อ่อง หล่าย จากการบุกจับยาเสพติดใน กทม.ออง ซาน ซู จี ถูกจำคุกเพิ่ม 7 ปี ที่มาของภาพ, Reutersคำบรรยายภาพ, เธอประทังชีพด้วยการถักกระเป๋าและเสื้อผ้า มีรายได้ไม่ถึงสัปดาห์ละ 350 บาท4.  ผู้นำทหารไทยพบผู้นำรัฐประหารเมียนมา พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดขอไทย นำคณะทหารไทยเข้าร่วมหารือกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมาเมื่อ 20 ม.ค. ณ เมืองงาปาลี รัฐยะไข่ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหารระหว่างกองทัพไทย–เมียนมา ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย–เมียนมา รวมทั้งปัญหาเฉพาะอื่น ๆ เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตามแนวชายแดนทั้งสองประเทศเอกสารข่าวเผยแพร่ของกองทัพไทยระบุว่ากองทัพไทยยึดมั่นในการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงชายแดนที่เกี่ยวกับกองทัพไทย กับกองทัพประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะด้านเมียนมา ซึ่งมีเส้นเขตแดนติดกันมากที่สุดมีความยาวถึง 2,401 กิโลเมตร“มีความจำเป็นที่ทั้งสองกองทัพจะดำรงไว้ ซึ่งความสัมพันธ์ ให้เกิดความเข้าใจ และเป็นการป้องกันปัญหาในพื้นที่ชายแดนที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งในระดับประเทศ บรรยากาศการประชุมเต็มเปี่ยมไปด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ บนพื้นฐานของความจริงใจและความเข้าใจซึ่งกันและกัน” ที่มาของภาพ, Thai military handoutคำบรรยายภาพ, พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดขอไทย นำคณะทหารไทยเข้าร่วมหารือกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมาเมื่อ 20 ม.ค. ณ เมืองงาปาลี รัฐยะไข่

“ฉันไม่ใช่วีรสตรี ไม่ได้อยากสู้กับตำรวจไทย”Article informationAuthor, ทศพล ชัยสัมฤทธิ์ผลRole, ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย31 มกราคม 2023ที่มาของภาพ, Tossapol Chaisamritpol / BBC Thaiคำบรรยายภาพ, อัน อวี๋ฉิง ดาราสาวไต้หวัน ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย โดยมี บก.บีบีซีจีน ช่วยแปลภาษาหญิงสาววัย 30 ปีเศษ นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ พร้อมจัดท่วงท่าอย่างมั่นใจว่าขึ้นกล้องที่สุด เธอสวมชุดเดรสยาวสีขาว ผมยาวสีดำขลับเสยไปด้านหลัง“สวัสดีค่ะ ฉันอัน อวี๋ฉิง หรือเรียกว่า ชาลีน อัน ก็ได้” เธอทักทายบีบีซีไทยด้วยภาษาไทย สำเนียงจีน แต่ตลอดบทสนทนา เป็นภาษาจีนกลางสำเนียงไต้หวันทั้งหมดเธอคือนักแสดงหญิงชาวไต้หวัน ที่กำลังเป็นข่าวในสังคมไทยมากที่สุดในเวลานี้ หลังการเดินทางท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ กลายเป็น “ประสบการณ์ที่เลวร้าย” เพราะเธอโพสต์เล่าว่า เจอด่านและถูกตำรวจไทย “รีดไถเงินกว่า 27,000 บาท” บริเวณหน้าสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเช้าตรู่วันที่ 5 ม.ค. 2566 “ฉันออกมาให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อสร้างกระแส หรือกล่าวหาว่าตำรวจไทยกระทำผิด ฉันแค่ไม่อยากถูกใส่ร้ายป้ายสีอีกแล้ว” ชาลีน อัน กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกับบีบีซีผ่านโปรแกรมซูม“ฉันรู้ดีกว่า ท้ายสุด ความจริงของเรื่องนี้คงไม่มีวันกระจ่าง”สรุปดรามาดาราสาวไต้หวันถูกตำรวจรีดไถเงิน 27,000 บาท ประกาศ “ไม่เหยียบไทยอีก”ภาพเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร หลังนักท่องเที่ยวจีนแห่กลับมาเที่ยวแบบ VVIP : ปมจ้างตำรวจไทยนำขบวน นทท. จีน สะท้อนภาพปราบโกงล้มเหลวหรือไม่และนี่คือบทสัมภาษณ์พิเศษ ที่เธอประกาศว่าจะเป็น “ครั้งสุดท้าย” สำหรับประเด็นข่าวดังข้ามมหาสมุทร ที่เป็น “แผลใจ” ที่เธออยากให้ผ่านพ้นไปเสียทีบุหรี่ไฟฟ้า และกว่า 45 นาทีกับด่านตำรวจชาลีน อัน เริ่มด้วยด้วยการลำดับเวลาที่เธอเล่ามาแล้วหลายครั้ง แต่เธอระบุว่า ถูกสื่อบางสำนักและตำรวจ “บิดเบือนข้อมูล” จนทำให้หลายคนมองว่าเธอกำลังโกหก เรื่องมันเกิดเมื่อกลางดึกวันที่ 4 ม.ค. 2566 ที่เธอได้ไปเที่ยวไนต์คลับกับเพื่อนหลายคน “หลังจากเที่ยวไนต์คลับแล้ว ฉันช่วยเพื่อนเรียกรถแท็กซี่ก่อน ซึ่งจากช่วงที่รอรถ ไปจนสิ้นสุดเหตุการณ์กับตำรวจ ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง” ชาลีน อัน แก้ไขความเข้าใจผิด ที่สื่อบางสำนักรายงานว่า เธออยู่กับตำรวจนานกว่า 2 ชั่วโมงเรื่องเวลาที่แน่ชัดนั้น เธอไม่ขอแสดงความเห็น เพราะเวลานั้น เธอมีเพียงโทรศัพท์มือถือ และไฟส่องสว่างบริเวณนั้นไม่มากนัก ทำให้กะเวลาไม่ได้ แต่คิดว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงเวลาตี 1 ถึงตี 3 ของวันที่ 5 ม.ค.ที่มาของภาพ, .คำบรรยายภาพ, ภาพที่สำนักข่าวหลายแห่งรายงานว่าเป็นบุหรี่ไฟฟ้า ขณะที่ ชาลีน อัน บอกกับบีบีซีไทยว่า ตำรวจยัดบุหรี่ไฟฟ้าให้เธอ ก่อนบันทึกภาพ“เราเจอด่านตำรวจ ก้าวลงมาจากรถ แล้วถูกตำรวจตรวจกระเป๋า” เธอเล่าถึงข้อมูลที่เคยปรากฏในหน้าสื่ออยู่แล้ว แต่ยืนกรานว่า พยายามขอให้เพื่อนบันทึกการกระทำของตำรวจ แต่ถูกตำรวจเดินเข้ามาห้าม แล้วลบภาพและวิดีโอออกไป “เพื่อนของฉัน (คนสิงคโปร์) พอรู้ภาษาไทย เลยไปคุยกับตำรวจ ฉันอยู่ตรงนั้นตอลด แต่ฉันไม่ค่อยเข้าใจภาษา เพื่อนฉันบอกว่า ตำรวจต้องการเงิน 27,000 บาท” แต่สิ่งที่ ชาลีน อัน ไม่คาดคิดคือ ตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้ามายัดใส่มือเธอแล้วถ่ายรูป ก่อนจะเรียกแท็กซี่ให้เธอยังยืนกรานว่า “ฉันรู้ตัวดีว่าไม่ได้เมา และแน่นอนว่า ฉันไม่มีบุหรี่ไฟฟ้าอยู่กับตัวเวลานั้น คนอื่นมีหรือเปล่าฉันไม่รู้…แล้วฉันก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้านั่นไม่ใช่ของฉัน เพราะตำรวจลบภาพและวิดีโอไปหมด”ก่อนที่ตำรวจจะปล่อยเธอและเพื่อนไป ได้ให้เหตุผลว่า เพราะพวกเธอดูไม่ใช่คนอันตราย “แต่ถ้าฉันไม่ใช่คนอันตราย ทำไมยื้อฉันไว้กว่า 45 นาที”“สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ คือ ฉันต้องให้ความร่วมมือ … เราอาจกระทำอะไรผิดพลาดไปโดยไม่ตั้งใจก็ได้ แต่ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยี ทำไมตำรวจไม่ใช้ Google Translate ช่วยแปลภาษา ทำไมไม่ออกใบสั่งมาอย่างถูกต้อง”“กลายเป็นว่าตำรวจให้เราจ่ายเงิน แล้วเลี่ยงกล้องวงจรปิดด้วย ความจริงเลยขึ้นอยู่กับว่าสังคมจะตีความยังไง แต่พวกเราทุกคนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว”ส่วนภาพที่ปรากฏให้เห็นว่า เธอไปเดินตลาดกลางคืนแถวห้วยขวางต่อ หลังผ่านพ้นด่านตำรวจไปแล้วนั้น ชาลีน อัน อธิบายว่า พวกเธอวางแผนจะไปทานอาหารที่ร้านอาหารในแถบนั้นอยู่แล้ว และตลาดแห่งนั้นก็อยู่ใกล้กับร้านอาหารคำชี้แจงที่วกวนของตำรวจนับแต่โพสต์ของชาลีน อัน กลายเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทย ตำรวจไทยประกาศสอบสวน และออกมาแถลงข่าวชี้แจงหลายครั้ง โดยมีลำดับเวลา ดังนี้27 ม.ค. – พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ยืนกรานว่ามีการตั้งด่านจริง บริเวณหน้าสถานทูตจีน พร้อมชี้แจงว่า พบนักท่องเที่ยวต่างชาติพกบุหรี่ไฟฟ้า เจ้าหน้าที่จึงแจ้งว่าผิดกฎหมาย แต่คุยไม่เข้าใจภาษา เพราะพูดภาษาจีน และมีการอัดเสียงไว้ แต่ยังหาไม่เจอ29 ม.ค. – พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนคบาล 1 (ผบก.น.1,) พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผู้กำกับการ (ผกก.) สน.ห้วยขวาง ร่วมแถลงข่าวกรณี ดาราสาวชาวไต้หวันอ้างว่า ถูกตำรวจตั้งด่านรีดทรัพย์ ตอนนี้ ได้สอบพยานไปแล้วกว่า 10 คน แต่ยังไม่พบหลักฐานว่ามีการเรียกร้บเงิน 30 ม.ค. – พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการด่วน ให้ ผบช.น.สั่งผกก.สน.ห้วยขวาง ไปช่วยราชการ ที่ไหน ??? หลังจากมีข้อมูลว่ามไต้หวันีตำรวจเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกรณีนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันถูกเรียกรับเงิน พร้อมกำชับ น.1 ดำเนินการตั้งกรรมการวินัยร้ายแรงและดำเนินคดีอาญาในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำความผิดในเหตุดังกล่าวทุกราย อย่างเด็ดขาด มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง”30 ม.ค. – พล.ต.ต. นิตินันท์ เพชรบรม รอง ผบช.น. ปฏิบัติหน้าที่งานด้านจเรตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง 5 นายจาก 14 นายมาสอบปากคำ โดยปฏิเสธเรื่องรับเงิน แต่รายละเอียดอื่น ๆ ยังไม่เปิดเผยขณะที่ บีบีซีไทยได้สอบถามสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ถึงความเห็นในเรื่องนี้ ได้รับการตอบกลับว่า”สำนักงานฯ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เมื่อทางการไทยขอให้ช่วยเหลือในการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว สำนักงานฯ ได้ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องและให้ความช่วยเหลือตามสมควร””สำนักงานฯ ขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับสิทธิประโยชน์สำคัญของนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน เนื่องจากเหตุการณ์นี้ยังอยู่ในช่วงสืบสวนสอบสวน สำนักงานฯ จะเคารพเจตจำนงของนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน รวมทั้งกระบวนการตรวจสอบและผลการตรวจสอบของตำรวจไทย”ที่มาของภาพ, ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์คำบรรยายภาพ, นายชูวิทย์ โทรสดถึงเพื่อนชาวสิงคโปร์ของชาลีน อัน ที่ยืนยันว่าเขาเป็นคนจ่ายเงิน 27,000 บาทให้ตำรวจจริงบีบีซีไทยเล่าถึงความคืบหน้าของประเด็นนี้ให้ ชาลีน อัน ฟังเพื่ออัพเดทสถานการณ์ โดยเธอกล่าวเพียงว่า “ฉันคิดว่าทุกคนมีคำตอบในใจแล้ว อยู่ที่ใครจะตัดสินอย่างไร “ฉันไม่ใช่วีรสตรี ไม่ได้อยากต่อสู้กับตำรวจไทย” ชาลีน อัน กล่าวผ่านการสัมภาษณ์ทางไกลจะไม่กลับมาไทยอีกจริงหรือชาลีน อัน เคยโพสต์ข้อความที่ใช้ถ้อยคำเต็มไปด้วยความรู้สึกว่า “ไม่คิดเลยว่า ไปเที่ยวปีใหม่ที่ไทยหวังเจอประสบการณ์ดี ๆ แต่กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายและน่ากลัวที่สุดในชีวิต และฉันจะไม่ไปเหยียบเมืองไทยอีก” และ “ลาก่อน กรุงเทพห่วย ๆ” บีบีซีไทยสอบถามเธอว่า จะไม่กลับมาประเทศไทยอีกจริงหรือ, ชาลีน อัน ตอบว่า ตอนที่กล่าวว่า “จะไม่เหยียบไทยอีก” คือความรู้สึกหลังผ่าน “สิ่งเวลาร้ายมา” แต่ตอนที่โพสต์นั้นถึงเวลานี้ ได้ผ่านผ่านมาเกือบเดือนแล้ว “พอมาทบทวนตัวเอง ฉันคิดว่าฉันคงเคยทำกรรมมา เลยต้องมาเจออะไรแบบนี้” ชาลีน อัน เล่า พลางกุมมือขึ้นกลางอก “ถ้ามีโอกาส ฉันจะกลับไปไทยอีกในอนาคต”ที่มาของภาพ, Chalene An คำบรรยายภาพ, ชาลีน อัน เคยประกาศว่า “จะไม่เหยียบไทยอีก”  “ฉันยังรักประเทศไทย… ฉันยังชอบหลายอย่างในไทย ไทยมีสถานที่สวยงามมากมาย วัฒนธรรมทรงคุณค่า และอาหารที่อร่อย”แต่เธอย้ำว่า ในเวลานี้ คงยังไม่กลับมาไทย เพราะ “ฉันกลัว ฉันกลับมาไต้หวันได้อย่างปลอดภัย แล้วถ้าให้กลับไปไทยแล้วเจออะไรแบบนี้อีก ฉันก็กลัว”นักท่องเที่ยวคนธรรมดาตลอดการสัมภาษณ์นานกว่า 30 นาที ชาลีน อัน ย้ำกับบีบีซีไทยตลอดว่า เธอเป็นเพียง “นักท่องเที่ยวธรรมดา” คนหนึ่ง ที่ต้องการแบ่งปันประสบการณ์ที่แปลกประหลาดและเลวร้ายสำหรับตัวเธอ เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติคนอื่น ๆ ที่เดินทางไปประเทศไทย โดยเฉพาะคนเอเชีย และคนที่พูดภาษาจีนกลางเป็นหลัก “ฉันอยากแบ่งปันเรื่องราวของฉัน ทุกคนจะได้ตระหนักว่ามีภัยอันตรายแบบนี… ฉันก็แค่คนธรรมดา ฉันต่อสู้รัฐบาลหรือประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้ ฉันแค่นักท่องเที่ยวที่อยากบอกเล่าเรื่องที่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก”ดาราสาวชาวไต้หวันยังเชื่อว่า เธอเป็นเพียงหนึ่งใน “เหยื่อ” เพราะเชื่อว่า มีคนไทยและชาวต่างชาติอีกจำนวนมาก ที่เผชิญเรื่องราวที่เลวร้ายเหมือนกับเธอ ที่มาของภาพ, Chalene Anคำบรรยายภาพ, “หวังว่าเรื่องราวของฉันช่วยให้ไทยดีขึ้นได้ ช่วยตีแผ่สิ่งที่คนธรรมดาต้องเผชิญ” ชาลีน อันอีกปัจจัยที่เธอคิดว่าทำให้คนไทยสนใจกับโพสต์แบ่งปันประสบการณ์ของเธอ คือ กรณีข่าวนักท่องเที่ยวหญิงจีน “เที่ยวไทยแบบ VVIP”“ฉันไม่รู้ว่าทำไมเรื่องนี้ถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ มีข่าวนักท่องเที่ยวจีนจ่ายเงินใช้บริการรถตำรวจไทยได้ แล้วก็มาเกิดเรื่องของฉันอีก”กรณีเที่ยวไทยแบบ “VVIP” คือ ปมจ้างตำรวจนำขบวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางจากสนามบินถึงที่พัก ที่ต้นตอมาจากนักท่องเที่ยวสาวจีนที่โพสต์คลิปดังกล่าวลงใน Douyin หรือ ติ๊กต่อก ในประเทศจีนคลิปดังกล่าวมีความยาวราว 2 นาที นักท่องเที่ยวสาวชาวจีน อธิบายการทดสอบใช้บริการตำรวจไทยว่าใช้เงินซื้อได้ทุกอย่างตามคำร่ำลือจริงหรือไม่ ในคลิปดังกล่าวยังมีภาพตำรวจไปรับถึงประตูเครื่องบิน เดินนำทาง ยกกระเป๋า เปิดประตูรถให้ ขับรถนำเปิดไฟฉุกเฉินไซเรน ในรูปแบบการบริการแตกต่างตามลักษณะพาหนะนำขบวน เช่น หากเป็นรถจักรยานยนต์สนนราคา 6,000 บาท และหากเป็นรถยนต์ราคาอยู่ที่ 7,000 บาทสำหรับชาลีน อัน แล้ว ความสนใจในเรื่องราวของเธอ ไม่ใช่เรื่องที่เธอภาคภูมิใจ เพราะการต้องพูดถึงประสบการณ์อันเลวร้าย “ซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งทำให้บาดแผลในใจฝังลึก” แต่ถ้าเรื่องราวของเธอจะช่วยตีแผ่ปัญหานี้ และเป็นอุทาหรณ์ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติระมัดระวังตัวมากขึ้น, ชาลีน อัน ก็ดีใจ“หวังว่าเรื่องราวของฉันช่วยให้ไทยดีขึ้นได้ ช่วยตีแผ่สิ่งที่คนธรรมดาต้องเผชิญ” และ “ถ้าสิ่งเลวร้ายแบบนี้หายไป ฉันจะกลับไปไทยอีก”

หายนะจากฟากฟ้า ความอำมหิตของกองทัพเมียนมาเข่นฆ่าประชาชนและเด็กเล็กArticle informationAuthor, โจนาธาน เฮดRole, ผู้สื่อข่าวบีบีซี ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้วก่อนจะเดินทางไปโรงเรียน ในช่วงบ่ายวันที่ 16 ก.ย. 2022, เด็กหญิง ซิน นเว พโย วัย 9 ขวบ ตื่นเต้นมากที่คุณอามอบรองเท้าคู่ใหม่ให้เธอ

เด็กหญิงชงกาแฟให้คุณอา สวมรองเท้าคู่ใหม่ และออกเดินไปโรงเรียน ที่อยู่ห่างออกไปเพียง 10 นาที ในหมู่บ้านเละเยะโกน ทางตอนกลางของเมียนมา, เพียงไม่นานหลังจากนั้น คุณอาโทรศัพท์หาเธอบอกว่า เห็นเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำบินวนเวียนอยู่เหนือหมู่บ้าน ทันใดนั้น เฮลิคอปเตอร์ทหารก็เริ่มกระหน่ำยิง

ด.ญ. ซิน นเว พโย และเพื่อนร่วมชั้น พึ่งจะถึงโรงเรียนได้ไม่นาน กำลังนั่งลงเพื่อเริ่มเรียน ทันใดนั้น ใครบางคนตะโกนว่า เฮลิคอปเตอร์กำลังมุ่งหน้ามาทางโรงเรียน

พวกเขาเริ่มวิ่งหาที่กำบัง ทั้งหวาดกลัว และร้องไห้ขอความช่วยเหลือ ก่อนที่จรวดและห่ากระสุน จะพุ่งเข้าใส่โรงเรียน

“เราไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร” ครูคนหนึ่งที่อยู่ในห้องเรียนตอนที่การโจมตีปะทุขึ้น กล่าว “ตอนแรก ฉันไม่ได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ ได้ยินแต่เสียงกระสุนและระเบิดถล่มใส่โรงเรียน”อดีต จนท. ยูเอ็นชี้ เอกชนหลายชาติช่วยเมียนมาผลิตอาวุธปราบประชาชน
“ถ้าฉันได้ยิงก่อน ฉันจะฆ่าแกไอ้ลูกชาย”รัฐประหารเมียนมา: 1 ปีผ่านกับงานการทูตที่ไทยเลือกแสดง

“เด็ก ๆ ในอาคารเรียนหลัก ถูกกระหน่ำด้วยอาวุธ พวกเขาวิ่งออกไปข้างนอก พยายามหลบซ่อน” ครูอีกคนหนึ่ง กล่าว พร้อมเล่าต่อว่า เธอและนักเรียนของเธอเข้าไปหลบหลังต้นมะขามขนาดใหญ่

“พวกเขายิงทะลุกำแพงโรงเรียน ยิงใส่เด็ก ๆ” ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่า “เศษชิ้นส่วนกระจุยกระจายจากอาคารเรียนหลัก ไปยังอาคารเรียนที่อยู่ติดกัน พื้นโรงเรียนเกิดหลุมขนาดใหญ่”ที่มาของภาพ, EPAคำบรรยายภาพ, สิ่งของที่เหลืออยู่ในห้องเรียนที่ถูกโจมตีเครื่องจักรสงครามที่ประหัตประหารเหล่าครูและเด็ก ๆ คือ เฮลิคอปเตอร์ทหารรุ่น เอ็มไอ-35 ที่มีสมญานามว่า “รถถังบินได้” หรือ “จระเข้” จากรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขาม และเกราะกันกระสุนรอบเฮลิคอปเตอร์

เฮลิคอปเตอร์ที่ผลิตในรัสเซียรุ่นนี้ สามารถติดตั้งอาวุธได้หลากหลาย รวมถึงปืนแบบยิงต่อเนื่อง และชุดยิงจรวดได้หลายลูก สามารถสังหารผู้คน ยานยนต์ และอาคารทั่วไปได้

ช่วง 2 ปี นับแต่การรัฐประหารของกองทัพเมียนมา โค่นอำนาจนางออง ซาน ซู จี และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การโจมตีทางอากาศได้กลายเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ของกองทัพเมียนมา เพื่อทำสงครามกลางเมือง ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ อากาศยานด้านการรบของกองทัพเมียนมาเพิ่มขึ้นจนมีอากาศยานกว่า 70 ลำ ส่วนใหญ่ผลิตในรัสเซียและจีน

การประเมินจำนวนผู้เสียชีวิตที่แน่ชัดจากการโจมตีทางอากาศในหลายพื้นที่ของเมียนมา เป็นไปไม่ได้เลย ทำให้โลกภายนอกไม่ทราบถึงสถานการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในเมียนมา

บีบีซีได้พูดคุยกับผู้เห็นเหตุการณ์ ชาวบ้าน และครอบครัวจำนวนมาก ผ่านการโทรศัพท์ เพื่อตรวจสอบว่า การโจมตีโรงเรียนดังกล่าวในตอนต้น เกิดขึ้นได้อย่างไร

บีบีซีได้รับทราบว่า การโจมตีทางอากาศดังกล่าว เกิดขึ้นนานราว 30 นาที ทำให้ผนังและหลังคาโรงเรียนบางส่วนร่วงหล่นลงมา

จากนั้น ทหารที่ก้าวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ที่จอดอยู่ใกล้เคียง ได้บุกเข้ามา และยังคงยืนปืนใส่อยู่ ก่อนสั่งให้ผู้รอดชีวิตเดินออกมา และนั่งลงบนลานกิจกรรมของโรงเรียน ทหารสั่งไม่ให้ครูและนักเรียนเงยหน้าขึ้นมา มิเช่นนั้น จะถูกฆ่า

จากนั้น ทหารจึงเริ่มสอบถามถึงกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร ที่อาจซุกซ่อนอยู่ภายในหมู่บ้าน
คำบรรยายภาพ, ซิน นเว พโย วัย 3 ขวบ และ ซู ยาติ ฮแลง วัย 7 ขวบภายในอาคารเรียนนั้น เด็ก 3 คน กลายเป็นร่างไร้วิญญาณ หนึ่งในนั้น คือ ด.ญ. ซิน นเว พโย อีกคนคือ ด.ญ. ซู ฮาติ ฮเลง อายุเพียง 7 ขวบ โดยด.ญ. ซู ฮาติ ฮเลง และพี่สาว ได้รับการเลี้ยงดูโดยคุณยาย หลังพ่อแม่เดินทางข้ามไปประเทศไทยเพื่อหางานทำ

ครูและเด็กอีกหลายคนบาดเจ็บสาหัส บางคนสูญเสียอวัยวะ หนึ่งในนั้นคือ ด.ช. โพน เทย์ ซา อายุเพียง 7 ขวบ ที่ร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด

ทหารใช้ถุงขยะมาเก็บชิ้นส่วนร่างกายต่าง ๆ ส่วนเด็กและครูที่บาดเจ็บอย่างน้อย 12 คน ถูกสั่งให้ขึ้นรถบรรทุก 2 คันของกองทัพ แล้วนำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลใกล้เคียง ซึ่งต่อมา เด็ก 2 คนในจำนวนนี้ ได้เสียชีวิตลง

ห่างออกไปที่ลานใกล้กับหมู่บ้าน ทหารได้ยิงสังหารเด็กวัยรุ่น 1 คน และผู้ใหญ่อีก 6 คน
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมา ประเทศที่จมปลักอยู่กับสงคราม กองทัพเมียนมาต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม มายาวนานนับแต่ได้รับอิสรภาพจากสหราชอาณาจักร เมื่อปี 1948

แต่ปกติ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะเป็นการต่อสู้ที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีสงครามขั้นสูง อาทิ ทหารภาคพื้นดินยิงต่อสู้กับกบฏชนกลุ่มน้อย ที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ไม่ต่างอะไรมากนักจากสงครามสนามเพลาะ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อศตวรรษก่อน

แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป ในปี 2012 ในรัฐกะฉิ่น เพราะกองทัพอากาศได้รับมอบเฮลิคอปเตอร์ เอ็มไอ-35 ลำแรกมา และก็นำมาใช้โจมตีทางอากาศในการรบจริง ๆ กับกลุ่มติดอาวุธ

ช่วง 10 ปีนับแต่นั้น กองทัพเมียนมาได้ใช้การโจมตีทางอากาศหลายครั้งในสงครามกลางเมืองรัฐฉานและรัฐยะไข่

อย่างไรก็ดี นับแต่การรัฐประหารในเดือน ก.พ. 2021, กองทัพเมียนมาเผชิญกับความสูญเสียจากการบุกโจมตีตามท้องถนนของกองกำลังพิทักษ์ประชาชน หรือ พีดีเอฟ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่เกิดจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารที่ทนต่อการใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงต่อต้านรัฐประหารไม่ได้อีกต่อไป

ตอนนี้ กองทัพเมียนมาจึงพึ่งการสนับสนุนทางอากาศเป้นหลัก ใช้การทิ้งระเบิดด้วยเครื่องบินรบ กรุยทางสู่การโจมตีภาคพื้นดิน หรือปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเหมือนที่เกิดที่หมู่บ้านเละเยะโกน ด้วยการใช้เฮลิคอปเตอร์กระหน่ำยิงเปิดทาง ก่อนที่ทหารจะรุกเข้าไปในพื้นที่เพื่อสังหาร หรือจับตัวกองกำลังฝ่ายต่อต้าน
ทีมข่าวบีบีซีได้ตรวจสอบข้อมูลจากกลุ่ม Acled หรือ โครงการที่ตั้งความขัดแย้งและกิจกรรมข้อมูล พบว่า ช่วงระหว่างเดือน ก.พ. 2021 ถึง ม.ค. 2023 กองทัพเมียนมาดำเนินการโจมตีทางอากาศอย่างน้อย 600 ครั้ง

การประเมินผู้เสียชีวิตจากการโจมตีเหล่านี้ ถือว่าทำได้ยากมาก แต่ข้อมูลจากรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ หรือ NUG ที่เป็นรัฐบาลเงาของกลุ่มต่อต้านกองทัพเมียนมา ระบุว่า การโจมตีทางอากาศได้สังหารพลเรือนไปมากถึง 155 คน ในช่วงเดือน ต.ค. 2021 ถึง ก.ย. 2022

กลุ่มต่อต้านกองทัพเมียนมา ขาดแคลนยุทโธปกรณ์อย่างมาก และไม่มีศักยภาพพอจะโต้กลับการโจมตีทางอากาศนี้ พวกเขาจึงประยุกต์ใช้อากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนเพื่อการพาณิชย์ เพื่อโจมตีกองทัพ อาทิ ทิ้งระเบิดขนาดเล็กไปยังยานยนต์ของทหาร หรือฐานของกองทัพ แต่ก็ได้ผลเพียงจำกัด
เหตุผลที่หมู่บ้านเละเยะโกนตกเป็นเป้าโจมตีของกองทัพ ก็ไม่แน่ชัด เพราะเป็นหมู่บ้านยากจน มีคนอาศัยอยู่ราว 3,000 คนเท่านั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำนา หรือปลูกถั่ว เพราะผืนดินค่อนข้างแห้ง และหากไม่ใช่ฤดูมรสุม น้ำก็ค่อนข้างขาดแคลน

พื้นที่อย่าง เดแบยี่น มากกว่าที่กลุ่มต่อต้านควบคุมอยู่ และเป็นจุดปะทะระหว่างกองทัพกับกองกำลังพิทักษ์ประชาชนมาแล้วหลายครั้ง โดย NUG พบว่า จากปฏิบัติการโจมตีของกองทัพ 268 ครั้ง มีอย่างน้อย 112 ครั้งที่เกิดขึ้นในทางตอนใต้ของเขตสะกาย ซึ่งเป็นที่ตั้งของ เดแบยี่น

โฆษกของรัฐบาลทหารเมียนมาชี้แจงภายหลังการบุกโจมตีโรงเรียน ว่า ทหารได้เข้าไปยังหมู่บ้านเพื่อตรวจสอบว่ามีนักรบของกองกำลังพิทักษ์ประชาชน และทหารจากกองทัพเอกราชกะฉิ่นอยู่หรือไม่ แต่กลับถูกโจมตีจากในพื้นที่โรงเรียน ซึ่งถือเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกับที่บีบีซีได้พูดคุยกับผู้เห็นเหตุการณ์ ไม่เพียงเท่านั้น กองทัพไม่ได้เปิดเผยหลักฐานถึงกิจกรรมของฝ่ายต่อต้านภายในโรงเรียน

ที่สำคัญ โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนวัด ที่วัดพุทธแห่งหนึ่งในพื้นที่ เพิ่งก่อตั้งขึ้นได้ 3 เดือน เพื่อสอนเด็กนักเรียนราว 240 คน อย่างไรก็ดี ชาวบ้านบอกกับบีบีซีว่า โรงเรียนแห่งนี้เป็นหนึ่งในโรงเรียนกว่า 100 แห่งในเขตเดแบยี่น ที่บริหารโดยชุมชนที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร
คำบรรยายภาพ, ใครสนับสนุนอากาศยานให้กองทัพเมียนมาอาจารย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เป็นตัวอย่างของวิชาชีพที่สนับสนุนขบวนการต่อต้านการรัฐประหาร โดยหนึ่งในเหตุการณ์เชิงสัญลักษณ์เพื่อต่อต้านการรัฐประหารในช่วงแรก ๆ คือการที่ข้าราชการจำนวนมาก ถอนตัวไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลทหารที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น ส่งผลให้โรงเรียนและศูนย์สาธารณสุขในพื้นที่ต่าง ๆ ตกอยู่ใต้การบริหารงานของชุมชนเอง ไม่ใช่โดยรัฐบาล

แม่ของ ด.ช. โพน เทย์ ซา ที่เสียชีวิต ระบุว่า เธอได้ยินเสียงยิงปืนและระเบิดนานราว 30 นาที หลังเธอส่งลูกชายไปโรงเรียน แต่เช่นเดียวกับคุณอาของ ด.ญ. ซิน นเว พโย ที่ไม่คาดคิดว่าเป้าหมายของเฮลิคอปเตอร์สงครามจะเป็นโรงเรียน

“หลังสิ้นสุดเสียงปืน ฉันมุ่งหน้าไปที่โรงเรียน” เธอกล่าว “ฉันเห็นเด็ก ๆ และผู้ใหญ่นั่งอยู่บนพื้น กดหัวลงต่ำ ส่วนทหารก็ไล่เตะคนที่เงยหน้าขึ้นมา”

เธออ้อนวอนทหาร ให้ปล่อยเธอไปตามหาลูกชาย แต่ทหารไม่ยอม “พวกแกสนใจแต่ตอนที่คนของพวกแกถูกยิง” ทหารคนนึ่งกล่าวกับเธอ “แต่ไม่สนใจตอนที่ทหารถูกยิง”

จากนั้นเธอได้ยิน โฟน เทย์ ซา ร้องหาเธอ ทหารจึงปล่อยให้เธอไปหาเขาในห้องเรียนที่เสียหายหนัก

“ฉันพบลูกจมกองเลือด ดวงตากระพริบช้า ๆ ฉันบอกลูกว่า ลูกจะต้องไม่เป็นอะไร ลูกต้องไม่ตาย”

“ฉันร้องไห้หนักมาก ตะโกนใส่ทหารว่า ‘ทำอย่างนี้กับลูกชายฉันได้ยังไง’ พื้นที่ตรงนั้นเงียบสงัด ตอนที่ฉันตะโกนออกมา เสียงดังสะท้อนไปกับตัวอาคาร ทหารตะโกนกลับว่า อย่ากรีดร้องแบบนั้น และบอกให้นิ่งอยู่กับที่ ฉันจึงนั่งอยู่ในห้องเรียนนั้นนาน 45 นาที โดยมีลูกอยู่ในอ้อมกอด ฉันเห็นร่างเด็กเสียชีวิต 3 คนอยู่ตรงนั้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นลูกใครบ้าง เพราะไม่กล้ามองหน้า”

ต่อมาไม่นาน ลูกชายของเธอ โฟน เทย์ซา ก็เสียชีวิต แต่ทหารไม่ยอมให้มารดาเก็บศพไว้ และนำร่างไร้วิญญาณของเขาไปด้วย เช่นเดียวกับร่างของ ซิน นเว พโย และซู ยาติ ฮแลง ซึ่งถูกฌาปนกิจอย่างลับ ๆ ก่อนที่ครอบครัวจะได้เห็นพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย
ที่มาของภาพ, Getty Imagesคำบรรยายภาพ, กองกำลังพิทักษ์ประชาชนห่างจากหมู่บ้านออกมากว่าพันกิโลเมตร ข้ามมายังประเทศไทย พ่อแม่ของซู ยาติ ฮแลง กำลังทำงานอยู่ในโรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในตอนที่พวกเขาทราบข่าวว่าหมู่บ้านของพวกเขาถูกโจมตี

“ภรรยาและผมทุกข์ใจมาก เราตั้งสมาธิกับงานไม่ได้เลย” ตัวบิดา กล่าว

“ตอนนั้น เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง เราจึงยังออกงานไม่ได้ เราตั้งหน้าทำงานต่อไปด้วยใจที่หนักอึ้ง เพื่อนร่วมงานถามเราว่าเป็นอะไรไหม ภรรยาของผมจึงกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีก และเริ่มร้องไห้ พวกเขาจึงตัดสินใจไม่ทำงานล่วงเวลาแล้ววันนั้น และขอหัวหน้ากลับไปที่ห้องของเรา”

เย็นวันนั้นเอง พวกเขาได้รับสายจากยายของซู ฮาติ ฮแลง ว่า บุตรสาวของพวกเขาถูกฆ่า

ประชาคมโลกเศร้าสลดและประณามสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเละเยะโกน แต่การโจมตีทางอากาศยังดำเนินต่อไป

เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2022 เครื่องบินรบของกองทัพเมียนมาบุกถล่มงานคอนเสิร์ตในรัฐกะฉิ่น ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบการเริ่มต่อสู้กับกองทัพเมียนมา ของกองทัพเอกราชกะฉิ่น

ผูรัฐประหารเมียนมา้รอดชีวิตเล่าว่า เกิดระเบิดรุนแรง 3 ครั้ง ตัดผ่านฝูงชนที่มาร่วมคอนเสิร์ต ทำให้มีผู้เสียชีวิต 60 คน รวมถึงผู้บัญชาการของกองทัพเอกราชกะฉิ่นหลายคน และนักร้อง
คำบรรยายภาพ, พ่อแม่ของซู ยาติ ฮแลง ทำงานอยู่ในไทยเพื่อส่งเสียลูก ๆ ไม่กี่วันต่อมา ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังทหารปิดกั้นเส้นทางอพยพออกจากพื้นที่ ของเหล่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีดังกล่าว ทำให้พวกเขาไปรักษาอาการบาดเจ็บไม่ได้

สำหรับผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ที่หมู่บ้านเละเยะโกน ฝันร้ายไม่ได้จบแค่ในวันที่ 16 ก.ย. เท่านั้น

พวกเขาเล่าว่า เด็กจำนวนมาก รวมถึงผู้ใหญ่บางคน ยังบอบช้ำทางจิตใจจากสิ่งที่ได้เห็นในวันนั้น ขณะที่กองทัพก็ยังพุ่งเป้าไปที่หมู่บ้าน และดำเนินการโจมตีอีก 3 ครั้ง นับแต่นั้น โดยเผาบ้านเรือนวอดไปหลายหลัง

นี่เป็นชุมชนที่ยากจน ชาวบ้านจึงไม่มีทุนทรัพย์จะฟื้นฟูบ้านเรือนที่เสียหาย อีกทั้ง หากสร้างใหม่แล้วก็ไม่รู้ว่าทหารจะกลับมาโจมตีเมื่อไหร่

แต่ “ลูก ๆ คือทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อแม่” แกนนำกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่รายหนึ่ง กล่าว “กองทัพเหยียบย่ำจิตใจของประชาชน ด้วยการฆ่าลูก ๆ ของพวกเรา ผมต้องยอมรับว่า กองทัพทำสำเร็จ ตัวผมเอง ก็ต้องสร้างความฮึกเหิมอย่างมาก เพื่อต่อสู้ต่อไป”

ด้านพ่อแม่ของ ด.ญ. ซู ยาติ ฮแลง ที่ยังอยู่ในประเทศไทย และไม่มีทุนทรัพย์พอจะเดินทางกลับบ้านเกิด อีกทั้ง หากกลับเมียนมา พวกเขาก็ต้องสูญเสียงานที่โรงงาน ที่พวกเขาเลือกมาทำเพื่อหวังจะส่งเสียให้ลูกสาวมีชีวิตที่ดี

“ฉันจินตนาการไว้หลายอย่าง” ตัวมารดา กล่าว

“เคยวาดฝันว่าจะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับลูกสาว ทำอาหารให้พวกเขา ให้พวกเขาได้ทำสิ่งที่ต้องการ ฉันมีความฝันมากมาย”

“ฉันอยากให้พวกเขาฉลาด ได้รับการศึกษา อย่าให้เป็นเหมือนพ่อแม่ที่ไร้การศึกษา ลูก ๆ เพิ่งจะเริ่มได้ใช้ชีวิต แต่แล้วลูกของฉันก็ต้องจากไปตลอดการ โดยที่ยังไม่ได้รับความรักและความอบอุ่นจากพ่อแม่เลย”

นักวิทยาศาสตร์ไขปัญหา วงแหวนเทพธิดา ได้เสร็จ ?1 เดือนกุมภาพันธ์ 2023, 07:25 +07วงแหวนเทพธิดา (fairy circles) เป็นการเกิดทางธรรมชาติน่าละลานตาในทะเลทรายประเทศนามิเบียที่เหล่านักวิทยาศาสตร์บากบั่นค้นหาแหล่งกำเนิดมานานหลายสิบปี แต่ว่าปัจจุบันมีผู้เสนอแนวคิดใหม่ที่บางทีอาจช่วยไขปัญหาของธรรมชาติอันน่าทึ่งนี้วงแหวนเทวนารีมีลักษณะเป็นหลักดินวงกลมอันว่างไม่ที่มีต้นต้นหญ้าขึ้นล้อม แต่ละวงอาจมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดตั้งแต่ 2-15 เมตร พบได้ทั่วไปอยู่ตามท้องทุ่งเขตทะเลทรายนามิบทางภาคตะวันตกของนามิเบีย ซึ่งนับว่าเป็นรอบๆแล้งที่สุดในโลก นอกเหนือจากนี้ยังเจอนิดหน่อยอยู่ทางตอนใต้ของแองโกลา และก็ทางภาคเหนือของประเทศในทวีปแอฟริกาใต้ด้วงทะเลทรายนามิบบางทีอาจช่วยขจัดปัญหาขาดน้ำได้ยังไง ปัญหาน้ำพุธรรมชาติผุดจากต้นไม้ในมอนเตเนโกรเจอ “ต้นไม้ที่ชีวิต” ในทะเลสาบของประเทศออสเตรเลียการที่ไม่มีผู้ใดรู้เด่นชัดว่าวงแหวนนางอัปสรเกิดขึ้นได้ยังไง ทำให้มีความเชื่อพิศดารจำนวนมากเกี่ยวกับมูลเหตุการเกิดวงแหวนกลุ่มนี้ เป็นต้นว่า บางบุคคลมั่นใจว่านี่เป็นผลงานของผู้คนต่างดาว มีต้นเหตุจากฝนดาวตก มังกรไฟ หรือการนางฟ้าลงมาเต้นระบำเป็นวงกลมส่วนทฤษฎีในเชิงวิทยาศาสตร์นั้น มีผู้เสนอแนวความคิดว่าวงแหวนเทพธิดาอาจเป็นเพราะเนื่องจากการที่ปลวกกัดรับประทานรากพืช หรือเป็นการช่วงชิงน้ำระหว่างพืชจำพวกต่างๆในแถบนั้นโปรดเปิดการใช้แรงงาน JavaScript หรือบราวเซอร์ต่างออกไป เพื่มองบทความนี้Play video, “นักวิทยาศาสตร์ไขปัญหา วงแหวนเทวนารี ได้เสร็จ ?”, ความยาว 2,3502:35คำพรรณนาวิดีโอ, นักวิทยาศาสตร์ไขปัญหา วงแหวนเทพธิดา ได้เสร็จ ?แต่ ดร.สเตฟาน เกตสิน นักนิเวศวิทยาจากมหาวิทยาลัยเกิตทวิทยาศาสตร์ิงเงนในเยอรมนีได้เรียนรู้เรื่องวงแหวนนางอัปสรมาตั้งแต่ปี 2000 และก็พบว่าการสันนิษฐานเรื่องปลวกกันรับประทานรากพืชนั้นไม่น่าเป็นความจริง ด้วยเหตุว่าจากการเรียนรากต้นหญ้าไม่เจอหลักฐานว่าถูกปลวกกัดรับประทานดร.เกตสิน ก็เลยเสนอแนวความคิดใหม่ว่า วงกลมปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่ามีน้ำไม่พอสำหรับพืชจะเติบโตได้โดยตลอดในพื้นที่แถบนั้นเขาชี้แจงว่า มันเป็นเพียงแค่ความแห้งของพืชที่แห้งเหี่ยวแล้วก็ขาดน้ำ…โดยความเป็นจริงแล้ว ต้นหญ้าดึงน้ำจากข้างในวงกลม โดยปันน้ำดังที่ได้กล่าวมาแล้วด้วยการดูดน้ำไปสู่ราก ทำให้พื้นที่เปลี่ยนไป ราวกับรูปแบบการทำงานของวิศวกรระบบนิเวศนักนิเวศวิทยาผู้นี้ชี้ว่า แนวคิดใหม่นี้ช่วยชี้แจงแนวทางที่พืชปรับนิสัยกับระบบนิเวศอันแล้งความรู้ความเข้าใจนี้เป็นสิ่งจำเป็นในอนาคต เนื่องจากว่าพวกเราจำต้องพบเจอความแห้งมากขึ้นในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ แล้วก็พืชจำเป็นจะต้องปรับพฤติกรรมเยอะขึ้นภับสภาวะขาดน้ำที่ร้ายแรงขึ้นวงแหวนเทวนารีเป็นตัวอย่างของการกักเก็บน้ำสำหรับพืชในแถบนี้ ดร.เกตสิน กล่าว

ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าตำรวจไทยเจอต้องทำอย่างไรที่มาของภาพ, Getty Imagesคำบรรยายภาพ, ในจีนและไต้หวัน บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งไม่ผิดกฎหมาย1 กุมภาพันธ์ 2023, 10:20 +07ข่าวตำรวจรีดไถเงิน อัน อวี๋ฉิง ดาราสาวไต้หวัน ช่วงที่เธอเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ด้วยข้ออ้างว่า เธอพกบุหรี่ไฟฟ้า แต่กลับกลายเป็นการเรียกรับเงิน 27,000 บาท แต่ไม่ได้ออกใบสั่งปรับข้อหาครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าแต่อย่างใด ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า การถือครองบุหรี่ไฟฟ้า ผิดกฎหมายหรือไม่

“เพื่อนของฉัน (คนสิงคโปร์) พอรู้ภาษาไทย เลยไปคุยกับตำรวจ ฉันอยู่ตรงนั้นตลอด แต่ฉันไม่ค่อยเข้าใจภาษา เพื่อนฉันบอกว่า ตำรวจต้องการเงิน 27,000 บาท” แต่สิ่งที่ อัน อวี๋ฉิง หรือ ชาลีน อัน ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย พร้อมเสริมว่า เมื่อให้เงินไปแล้ว กลับกลายเป็นว่า ตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้ามายัดใส่มือเธอแล้วถ่ายรูป

“ฉันไม่มีบุหรี่ไฟฟ้าอยู่กับตัวเวลานั้น คนอื่นมีหรือเปล่าฉันไม่รู้…แล้วฉันก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้านั่นไม่ใช่ของฉัน เพราะตำรวจลบภาพและวิดีโอไปหมด”

“สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ คือ ฉันต้องให้ความร่วมมือ … เราอาจกระทำอะไรผิดพลาดไปโดยไม่ตั้งใจก็ได้ แต่ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยี ทำไมตำรวจไม่ใช้ Google Translate ช่วยแปลภาษา ทำไมไม่ออกใบสั่งมาอย่างถูกต้อง”
“ฉันไม่ใช่วีรสตรี ไม่ได้อยากสู้กับตำรวจไทย”สรุปดรามาดาราสาวไต้หวันถูกตำรวจรีดไถเงิน 27,000 บาท ประกาศ “ไม่เหยียบไทยอีก”เที่ยวแบบ VVIP : ปมจ้างตำรวจไทยนำขบวน นทท. จีน สะท้อนภาพปราบโกงล้มเหลวหรือไม่ตอนนี้ กองบังคับการตำรวจนครบาลได้สั่งสอบสวนทางวินัยและคดีอาญา ข้าราชการตำรวจ 7 นาย ฐานไม่บังคับใช้กฎหมายอาญา มาตรา 157 คือ “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” ว่าด้วยการไม่จับกุมกรณีถือครองบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ใช่การรีดไถเงินนักท่องเที่ยวเบื้องต้น ได้ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 โดยขาดจากตำแหน่งเดิม 7 นายด้วยกัน บีบีซีไทยตรวจสอบข้อกฎหมายต่าง ๆ ทั้งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองผู้บริโภค, พ.ร.บ.ศุลกากร, และประกาศกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ยังไม่มีมาตราใดที่กำหนดความผิดฐาน “ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า” โดยตรง แต่ตำรวจและอัยการ สามารถใช้ความผิดจากมาตราอื่น เพื่อดำเนินความผิดผู้ครอบครองได้

กลุ่มผู้สนับสนุนให้เปิดเสรีบุหรี่ไฟฟ้า จึงมองว่า ความกำกวมด้านกฎหมายนี้เอง ที่เปิดช่องให้ตำรวจกระทำการทุจริต เรียกเงินจากประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นข้ออ้าง
บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายหรือไม่การจำหน่าย: คำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 ระบุห้ามขาย ห้ามให้บริการบารากุ บารากุไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า และน้ำยาเติมของทั้งสองชนิด โดยระบุว่าพบสารเคมีที่เป็นอันตรายหลายชนิด รวมถึงการสูบร่วมกันอาจทำให้เกิดโรคติดต่อ ดังนั้น สำหรับผู้ขายนั้น ให้มีความผิดและโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากเป็นผู้ประกอบธุรกิจในฐานะผู้ผลิต ผู้สั่ง หรือผู้ที่นำเข้ามาเพื่อขาย ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การครอบครอง: ทนายรณรงค์ แก้วเพชร ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า การมีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครอง ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย เพราะเป็นของต้องห้ามนำเข้า ผู้ใดรับไว้โดยประการใดซึ่งของที่ต้องห้ามนำเข้า มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับ 4 เท่าของราคา พร้อมภาษีที่ยังไม่ได้จ่าย ตามพระราชบัญญัติศุลกากร
การนำเข้า: ประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2557 ให้กรมศุลกากรตรวจจับ หากผู้ใดนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า หรือน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าจะต้องรับผิดตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอก และการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 มาตรา 20 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่าของสินค้าที่นำเข้าหรือส่งออก หรือทั้งจำทั้งปรับ
การขาย: ห้ามให้บริการตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2558 ผู้ใดฝ่าฝืนขายบุหรี่ไฟฟ้า จะต้องรับผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 (ฉบับที่ 3) มาตรา 56 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และในกรณีที่ผู้นำเข้าและผู้ขายเป็นคนเดียวกัน จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่มาของภาพ, .คำบรรยายภาพ, ภาพที่สำนักข่าวหลายแห่งรายงานว่าเป็นบุหรี่ไฟฟ้า ขณะที่ ชาลีน อัน บอกกับบีบีซีไทยว่า ตำรวจยัดบุหรี่ไฟฟ้าให้เธอ ก่อนบันทึกภาพการสูบในที่สาธารณะ: มีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560
การครอบครอง:
หากพบบุคคลใดว่าครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ตำรวจสามารถใช้มาตรา 246 ว่าด้วย ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ ซึ่งของที่รู้ว่าเป็นความผิดตามมาตรา 242 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 4 เท่าของราคาของ หรือทั้งจำทั้งปรับ

ดังนั้น การนำเข้า การผลิต การจำหน่าย ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายชัดเจน แต่ส่วนของผู้ครอบครองและใช้บุหรี่ไฟฟ้า แม้จะไม่มีความผิดโดยตรง แต่ก็จะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 246 ตามดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย

นานาประเทศ บุหรี่ไฟฟ้าถือว่าถูกกฎหมายเว็บไซต์ OkVape รวบรวมประเทศที่บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่อาจมีข้อจำกัดตามแต่กฎหมายของประเทศต่าง ๆ โดยปัจจุบัน มีราว 50 ประเทศ/ดินแดน ที่บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย รวมถึง ญี่ปุ่น อิตาลี นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก จีน แคนาดา ฝรั่งเศศ เกาหลีใต้ และไต้หวัน

ส่วนประเทศที่มีข้อจำกัดทางกฎหมายที่ต้องตรวจสอบ คือ สหรัฐฯ เพราะแต่ละรัฐมีกฎหมายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าไม่เหมือนกัน ขณะที่มาเลเซียนั้น บุหรี่ไฟฟ้าไม่เป็นสิ่งผิดกฎหมายตราบใดที่ไม่มีสารนิโคติน

ส่วนประเทศที่บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย OKVape ระบุว่า ไทย เป็นหนึ่งใน 26 ประเทศที่กำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ บรูไน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชา
สั่งย้าย 7 ตำรวจ เพราะไม่จับบุหรี่ไฟฟ้าวานนี้ (31 ม.ค. 2566) พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 ได้เซ็นคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการ โดยระบุว่า ตามที่ได้ปรากฏการเผยแพร่ภาพวิดีโอในสื่อสังคมออนไลน์ กรณี นักท่องเที่ยวชาวไต้หวันได้ลงข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ ว่า ได้นั่งรถยนต์โดยสารสาธารณะ (แท็กซี่) กับเพื่อน เพื่อเดินทางกลับโรงแรมที่พัก ระหว่างท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่ของวันที่ 5 ม.ค. 2566 ประมาณ 02.00 น.

พวกเธอได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจหน้าสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ได้เรียกตรวจคันและพบว่ามีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง แล้วเรียกรับเงินสด จำนวน 27,000 บาท แล้วปล่อยตัวไป ไม่ดำเนินคดีตามกฎหมาย
ที่มาของภาพ, Getty Imagesคำบรรยายภาพ, ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ถือว่าบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย แต่การบังคับใช้กำกวมกองบังคับการตำรวจนครบาล ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ผลการตรวจสอบปรากฏว่า มีมูลเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เกี่ยวข้องมีการตรวจพบบุหรี่ไฟฟ้า แต่ไม่ดำเนินการตรวจยึดเพื่อตรวจสอบหรือจับกุม ซึ่งเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษเป็นคดีอาญาสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง ฐานความผิด “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” อันเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และกองบังคับการตำรวจนครบาล ได้มีคำสั่งที่ 30/2566 ลงวันที่ 30 มกราคม 2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะประเทศไทยกรรมการสอบสวนทางวินัย เพื่อสอบสวนกรณีดังกล่าว แล้วนั้น

ดังนั้น เพื่อมีให้กระทบต่อการดำเนินการสอบสวนทางวินัยและคดีอาญา รวมถึงมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ จึงให้ข้าราชการตำรวจที่ มีรายชื่อดังต่อไปนี้ ปฏิบัติราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ ตามที่ผู้บังคับการตำรวจนครบาลได้มอบหมาย ประกอบด้วย

ร.ต.อ. ยอดฤทธิ์ ลางดุลเสน รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ร.ต.อ. ปฏิภาณ ศิริชัยวัฒนา รองสารวัตรอำนวยการ สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ด.ต. อธิเวช จุลพันธ์ ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ด.ต. กฤษฎา คำมะนา ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ส.ต.อ. เฉลิมชัย ศิริวังโส ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ส.ต.อ. วัชรนนท์ ขาวยอง ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลหัวยขวาง
ส.ต.อ. นันทวัชร์ สุวรรณา ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ผู้ช่วยพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ที่มาของภาพ, PAตัวแทนกลุ่มผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า หรือ อีซีเอสที ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก มองว่า กรณีดาราสาวไต้หวันถูกรีดไถเงิน เพราะถูกยัดข้อหาครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ไม่เหมาะสมและตั้งคำถามว่ามีการทุจริตเรียกรับเงินหรือไม่ การแก้ปัญหาอาจเป็นการให้บุหรี่ไฟฟ้าเป้นเรื่องถูกกฎหมาย “นำขึ้นมาบนดิน”

นายมาริษ กรัณยวัฒน์ หนึ่งในผู้แทนจากกลุ่มผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ให้สัมภาณ์ไทยรัฐออนไลน์ว่า “การตีความทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า บุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าหลบเลี่ยงภาษี ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่เสียภาษีไม่ได้ เมื่อมีการตีความออกมาในรูปแบบดังกล่าว จึงทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมายว่าจะเป็นเรื่องการติดสินบน หรือมีการจับกุมผู้ที่จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า เพราะกฎหมายห้ามไม่ให้นำเข้าตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น แต่ไม่มีความชัดเจนเรื่องความผิดฐานครอบครองและใช้ ก่อนหน้านี้ก็มีอีกหลายเคสที่ถูกเจ้าหน้าที่เรียกเก็บเงินหลักหมื่นถึงหลักแสน ทั้งกรณีนักท่องเที่ยวฝรั่งเศส มาเลเซีย อิสราเอล หรือแม้แต่คนไทยกันเอง”

ส่วนกฎหมายในกรณีการถือครองนั้น นายมาริษ มองว่า สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ก็มีการออกประกาศห้ามผลิต ห้ามจำหน่าย และห้ามนำออกให้บริการ ขณะที่ผู้ซื้อยังไม่มีการเอาผิดในด้านของกฎหมาย ตามการตีความโดยกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงทำให้มีความลักลั่นในด้านของการบังคับใช้กฎหมาย

ชายสิงคโปร์อ้างตำรวจไทยข่มขู่ให้จ่าย 2.7 หมื่น ฐานพกบุหรี่ไฟฟ้าแลกติดคุกที่มาของภาพ, Thai News Pixคำบรรยายภาพ, “สกาย” ชายสิงคโปร์ ที่อยู่ในเหตุการณ์กับ ชาลีน อัน นักแสดงสาวไต้หวันเมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว“สกาย” ชายสิงคโปร์ เพื่อนดาราสาวไต้หวัน ที่เป็นคนเจรจากับตำรวจที่ด่านตรวจ เผย ถูกตำรวจไทย “ข่มขู่” และให้จ่ายเงิน เพื่อไม่ต้องไป “โรงพัก-เข้าคุก” เป็นเงิน 27,000 บาท หลังตำรวจพบว่าเขาพกบุหรี่ไฟฟ้า ยืนยัน ดาราสาวไต้หวันไม่ได้พกไปในคืนวันนั้น

วันนี้ (1 ก.พ. 2566) นาย “สกาย” เพื่อนของ อัน อวี๋ฉิง หรือ ชาลีน อัน ดาราสาวไต้หวันที่เปิดเผยว่า ถูกตำรวจไทยรีดไถเงินเธอกับเพื่อน ๆ รวม 27,000 บาท ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวจากมุมมองของเขา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย เป็นผู้ “ควักเงินส่วนตัว” จองตั๋วเครื่องบินให้นายสกาย เดินทางมาไทยจากสิงคโปร์ เพื่อแถลงข่าวชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด

สกาย เล่าว่า ไปเที่ยวไนต์คลับกับชาลีน อัน ก่อนจะเรียกรถแกร็บเพื่อเดินทางไปต่อย่านห้วยขวาง แต่กลับเจอด่านตำรวจระหว่างทาง และตำรวจเรียกให้เขาและเพื่อน ๆ ลงจากรถ

“ตำรวจบอกว่าอยากตรวจค้น เอาไฟฉายส่อง… เขาจับกระเป๋าตามตัวผม ผมก็เอาสิ่งของให้ดูทั้งหมด เขาบอกให้ผมถอดรองเท้า แล้วขอดูหนังสือเดินทาง ซึ่งผมไม่ได้เอาไป” สกาย แถลงข่าวเป็นภาษาไทย ที่เขาระบุว่า พูดได้ในระดับที่สื่อสารได้ เพราะเดินทางมาไทยบ่อยครั้ง

นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ยอมรับว่า เขาพกบุหรี่ไฟฟ้าไปด้วย เช่นเดียวกับเพื่อนอีกสองคน แต่ ชาลีน อัน ไม่ได้พกบุหรี่ไฟฟ้าไปด้วยในคืนนั้น แม้ว่าเธอจะสูบบุหรี่ไฟฟ้าบ้าง สรุปแล้ว กลุ่มเพื่อนของเขา รวมชาลีน อัน มีอยู่ด้วยกัน 4 คน พกพาบุหรี่ไฟฟ้า 3 แท่ง และไม่ได้พกพาหนังสือเดินทาง
“ฉันไม่ใช่วีรสตรี ไม่ได้อยากสู้กับตำรวจไทย”เที่ยวแบบ VVIP : ปมจ้างตำรวจไทยนำขบวน นทท. จีน สะท้อนภาพปราบโกงล้มเหลวหรือไม่ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าตำรวจไทยเจอต้องทำอย่างไรสกาย เล่าต่อว่า ตำรวจได้นำบุหรี่ไฟฟ้าไป แต่เมื่อชาลีน อัน พยายามถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์มือถือ ตำรวจมีท่าทีเปลี่ยนไป และมีท่าทีเชิงข่มขู่ว่า “คุณมีบุหรี่ไฟฟ้า พวกคุณต้องไปสถานีตำรวจ และอาจต้องติดคุกอย่างน้อย 2 วัน”

ในเวลานั้น มีตำรวจ 3 คนที่ สกาย ต้องเจรจาด้วย เพราะเป็นบุคคลในเดียวในกลุ่มที่พอจะพูดภาษาไทยได้ โดยตำรวจนายหนึ่ง ไม่ได้สวมเครื่องแบบ

สกาย จึงสอบถามตำรวจว่า “จะให้พวกเราทำอย่างไร” เพราะเขาไม่ได้พกหนังสือเดินทางมา แต่ด้วยความที่เป็นคนสิงคโปร์ ไม่ต้องใช้วีซ่าก็สามารถพำนักในไทยได้ไม่เกิน 30 วัน แต่ตำรวจไม่ยอม ระบุว่าต้องมีหนังสือเดินทางตัวจริง จากนั้น ตำรวจจึงระบุว่า “ขอคุยกับตำรวจยศใหญ่ก่อน”
ที่มาของภาพ, Thai News Pixคำบรรยายภาพ, นายชูวิทย์ เป็นผู้เชิญให้สกายมาแถลงข่าวในครั้งนี้“เขาก็กลับมาบอกว่า บุหรี่ไฟฟ้ามี 3 แท่ง ต้องจ่ายแท่งละ 8 พันบาท และเมื่อรวมกับการไม่มีหนังสือเดินทาง รวมเป็น 27,000 บาท” สกาย ย้อนบทสนทนาของเขากับตำรวจเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2566 “ผมก็บอกโอเค”

ภายหลังการแถลงข่าวร่วมกับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์, นายกายจะเข้าให้ปากคำกับตำรวจ ถึงสิ่งที่เขาและเพื่อน ๆ เจอ เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการดำเนินคดี

อย่างไรก็ตาม ในส่วนการดำเนินคดีกับนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ในฐานะผู้ให้สินบนนั้น ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในขณะนี้ เนื่องจากการจะดำเนินคดีในข้อหานี้ได้ นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ต้องอยู่ในฐานะผู้เสนอให้สินบนเจ้าพนักงาน ไม่ได้ถูกข่มขู่บังคับ ดังนั้น การสอบปากคำนักท่องเที่ยวสิงคโปร์จึงสำคัญมาก และเป็นการสอบปากคำในฐานะพยาน โดยทีมสอบสวนได้เตรียมรูปถ่าย ตำรวจชุดตั้งด่านในวันเกิดเหตุทั้ง 14 นาย ให้ผู้เสียหายชี้ใน 3 ประเด็นหลัก ๆ คือ จ่ายเงินให้กับใคร, ใน 14 คนนี้มีใครบังคับขู่กฎหมายเข็นเรียกเงิน, และมีใครมีส่วนรู้เห็นจาการรีดรับเงินในครั้งนี้บ้าง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ สกาย, ชาลีน อัน, และเพื่อนอีก 2 คนสกาย เล่าว่า เขาเดินทางมาไทยบ่อยครั้ง ครั้งล่าสุด เดินทางมาอยู่ไทยตั้งแต่ 25 ธ.ค. 2565 เพื่อท่องเที่ยวไปจนถึงช่วงปีใหม่ ด้วยสถานะพลเมืองสิงคโปร์ เขาจึงไม่ต้องทำวีซ่า เพื่อพำนักไม่เกิน 30 วัน

ดังนั้น เขาจึงไม่เข้าใจว่า ทำไมตำรวจไทยที่พวกเขาเจอที่ด่านในคืนวันที่ 5 ม.ค. 2566 จึงคะยั้นคะยอจะดูหนังสือเดินทาง และตรวจว่าเขามีวีซ่าหรือไม่

ส่วนการครอบครองบุหรี่ไฟฟ้านั้น เขายอมรับว่า ไม่ทราบเลยว่าการซื้อและครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าในไทยเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เพราะไม่เคยมีประกาศแจ้งนักท่องเที่ยว
ที่มาของภาพ, BBC Thaiคำบรรยายภาพ, ชาลีน อัน หรือ อัน อวี๋ฉิง นักแสดงสาวไต้หวัน“ถ้าบอกบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย ทำไมที่ตลาดขายได้ เพราะผมซื้อที่ห้วยขวาง และเห็นขายทั่วไป ทุกคนก็ใช้อยู่ ไม่เห็นมีปัญหา” สกาย กล่าว

“กัญชายังเปิดร้านขายได้เลย ทำไมบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย” เขาบอกว่า เมื่อพูดถึงตรงนี้ ตำรวจที่เขาพูดคุยอยู่มีท่าที “โมโห” ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สกายจึงพยายามเจรจาอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยว่า “ขอโอกาสพวกเขาได้ไหม” แต่ตำรวจตอบกลับว่า “ไม่ได้ ต้องไปโรงพัก” พร้อมขู่ว่า ถ้าไปโรงพักจะต้องถูกจับขังคุกอย่างน้อย 2 วัน

สถานการณ์จึงเป็นในลักษณะที่นายชูวิทย์สรุปว่า ตำรวจข่มขู่นักท่องเที่ยวชาวไต้หวันและสิงคโปร์ว่า จะถูกจับขังหากไปที่สถานีตำรวจ และเมื่อ สกาย ถามว่า “แล้วจะต้องทำยังไง” ตำรวจจึงเรียกรับเงินสำหรับนักท่องเที่ยว 4 คน บุหรี่ไฟฟ้า 3 แท่ง และไม่มีหนังสือเดินทาง เป็นเงิน 27,000 บาท
ที่มาของภาพ, Thai News Pixคำบรรยายภาพ, ชูวิทย์ ก้มโค้ง “ขอโทษแทนตำรวจไทย”แต่พฤติการณ์ที่น่าสงสัยของตำรวจ คือ ให้ สกาย นับเงิน พร้อมชี้ไปทางบริเวณสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อให้สังเกตกล้องวงจรปิด แต่เมื่อกำลังจะยื่นเงินให้ ตำรวจทำท่าทางให้สกาย และเพื่อน ๆ ยืนบังทิศทางของกล้องวงจรปิด เพื่อไม่ให้เห็นพฤติการณ์รับเงินของตำรวจ

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา สอดคล้องกับที่ ชาลีน อัน ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยก่อนหน้านี้ คือ “ตำรวจเก็บเงินไป แล้วยื่นบุหรี่ไฟฟ้า (ของเขาและเพื่อน) ให้ผมแล้วถ่ายรูป ยื่นให้ชาลีน และคนอื่น ๆ แล้วถ่ายรูปด้วย” โดยสกายเสริมว่า ในขณะนั้น ชาลีน อัน มีท่าทางเหนื่อยและเครียดมาก

“ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องให้เงิน ถ้าผมมีทางเลือกผมคงไม่ทำหรอก” สกาย ยอมรับว่า ถูกข่มขู่ให้จ่ายเงินสินบนแก่ตำรวจ
ทำไมถึงไปห้วยขวางต่อการแถลงข่าวของ สกาย สอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ของชาลีน อัน กับบีบีซีไทย ที่เธอยืนกรานว่า ไม่ได้พกบุหรี่ไฟฟ้าออกไปด้วยในวันนั้น แต่เธอไม่เคยปฏิเสธว่า ไม่เคยครอบครองและสูบบุหรี่ไฟฟ้า

ชาลีน อัน ยังให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยถึงกรณีปรากฎภาพเธอและเพื่อน ๆ ไปเดินตลาดกลางคืนที่ห้วยขวาง ว่า เธอไปเดินตลาดกลางคืนแถวห้วยขวางต่อจริง เพราะวางแผนจะไปทานอาหารที่ร้านอาหารในแถบนั้นอยู่แล้ว และตลาดแห่งนั้นก็อยู่ใกล้กับร้านอาหาร

ข้อมูลจากสกายทำให้สถานการณ์ชัดเจนขึ้น โดยสกายเล่าว่า ชาลีน อัน “รู้สึกโกรธมาก” จึงอยากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อที่ห้วยขวาง ซึ่งเขาได้ตามไปสมทบภายหลังนั่งแท็กซี่ไปส่งเพื่อนที่โรงแรม

ในกลุ่มเพื่อนราว 10 คน รวมถึงชาลีน อัน และสกาย ด้วย มีคนไทยที่เขาเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง ซึ่งคนไทยแนะนำว่า ครั้งหน้าอย่าพกเงินสดเยอะ และให้พกพาหนังสือเดินทาง เพื่อไม่ให้ตำรวจรีดไถเงินได้เช่นนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ต่อมา ชาลีน อัน ได้นำไปโพสต์ในอินสตาแกรม และกลายเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมไทยในเวลาต่อมา
ที่มาของภาพ, .คำบรรยายภาพ, ชาลีน อัน ไปแถวห้วยขวางต่อหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสกาย ยังเปรียบเทียบว่า สถานการณ์ที่พวกเขาเจอนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่เคยเจอมาก่อน ในสิงคโปร์เอง เขาก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ และยอมรับว่า การกระทำของตำรวจไทยกับพวกเขา “ไม่มีเหตุผล” และทำให้เขา “กลัว”

ภายหลังการแถลงข่าว นายชูวิทย์ ได้โค้งและกล่าวขอโทษ สกาย แทน “ตำรวจไทย” ส่วนกรณีบุหรี่ไฟฟ้านั้น นายชูวิทย์ ระบุว่า “ชาวต่างชาติเขาจะรู้ไหม ก็เปิดขายกันทั่วไปตลาดห้วยขวาง ทองหล่อก็มี ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลให้ขายได้ยังไง”
มาตรการของตำรวจจนถึงตอนนี้ ผบ.ตร. ได้เซ็นย้าย ผกก.สน.ห้วยขวาง เพื่อเปิดทางให้กรรมการสอบสวนดำเนินการได้เต็มที่ และเป็นการลงโทษทางปกครองในฐานะ “เป็นหัวหน้าสถานีไม่สามารถควบคุมกำกับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาในสังกัด”

และวานนี้ (31 ม.ค.) พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 ได้เซ็นคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการ จำนวน 5 นาย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตั้งด่านที่ สกาย และ ชาลีน อัน เผชิญในเช้ามืดวันที่ 5 ม.ค. โดยมีรายชื่อดังนี้

ร.ต.อ. ยอดฤทธิ์ ลางดุลเสน รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ร.ต.อ. ปฏิภาณ ศิริชัยวัฒนา รองสารวัตรอำนวยการ สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ด.ต. อธิเวช จุลพันธ์ ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ด.ต. กฤษฎา คำมะนา ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ส.ต.อ. เฉลิมชัย ศิริวังโส ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ส.ต.อ. วัชรนนท์ ขาวยอง ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลหัวยขวาง
ส.ต.อ. นันทวัชร์ สุวรรณา ผู้บังคับหมู่ ทำหน้าที่ผู้ช่วยพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง
ที่มาของภาพ, Thai News Pixคำบรรยายภาพ, ชูวิทย์นำปี๊บมาเพื่อให้ตำรวจ “คลุมศีรษะ”อย่างไรก็ดี นายชูวิทย์ วิพากษ์วิจารณ์ตำรวจนครบาลอย่างรุนแรงว่า เป็นการลงโทษตำรวจชั้นผู้น้อยของนายตำรวจระดับสูง เพื่อปกป้องตำแหน่งของตนเอง

“ตำรวจไม่ได้ปกป้องประเทศชาติ ปกป้องตัวเอง ปกป้องตำแหน่ง ลงโทษแต่ตำรวจชั้นผู้น้อย”
ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย ? การนำเข้ามา หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร หรือเคลื่อนย้ายของออกโดยไม่ได้รับอนุญาต จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 4 เท่าของราคา หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของทันที ตามกฎหมายมาตรา 242 ใน พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560

หากพบบุคคลใดว่าครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ตำรวจสามารถใช้มาตรา 246 ว่าด้วย ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ ซึ่งของที่รู้ว่าเป็นความผิดตามมาตรา 242 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 4 เท่าของราคาของ หรือทั้งจำทั้งปรับ

ดังนั้น การนำเข้า การผลิต การจำหน่าย ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายชัดเจน แต่ส่วนของผู้ครอบครองและใช้บุหรี่ไฟฟ้า แม้จะไม่มีความผิดโดยตรง แต่ก็จะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 246 ตามดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย

2 ปีรัฐประหารเมียนมา : 4 เรื่องราวของพลเรือนที่ถูกกระทบ และทหารที่รักษาอำนาจที่มาของภาพ, Reutersคำบรรยายภาพ, ฮาน เลย์ มิสแกรนด์เมียนมา 2020 วัย 23 ปี ที่เริ่มชีวิตใหม่ในแคนาดา1 กุมภาพันธ์ 20231 ก.พ. 2021 พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของนางออง ซาน ซู จี ควบคุมตัวเธอและนักการเมืองพลเรือนอีกหลายคนทหารอ้างเหตุ “ความไม่มั่นคงทางการเมือง” หลัง “พบความผิดปกติในการลงทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไป” แต่งตั้ง พล.อ. มินต์ ส่วย รองประธานาธิบดี เป็นประธานาธิบดีรักษาการผ่านไป 2 ปี เมียนมาเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง การสูญเสียชีวิต และการพลัดถิ่นอาศัยAcled หน่วยงานในสหรัฐฯ ที่เฝ้าสังเกตความขัดแย้งของโลกระบุว่า มีผู้เสียชีวิตราว 1.9 หมื่นคนในเมียนมา หลังการปราบปรามผู้เห็นต่างจากรัฐบาลเผด็จการ นำไปสู่การจับอาวุธสู้กับกองทัพ หน่วยงานของสหประชาชาติกล่าวหารัฐบาลทหารเมียนมาว่าก่ออาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และชี้ว่ามีผู้คนราว 1.2 ล้านคนต้องพลัดถิ่น ในจำนวนนั้นกว่า 7 หมื่นคน ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วรัฐบาลชาติตะวันตกคว่ำบาตรผู้เกี่ยวข้องกับนายทหารที่ก่อการรัฐประหารและสังหารประชาชน รวมทั้งเรียกร้องให้ภาคเอกชนเลิกทำธุรกิจกับรัฐเผด็จการ และไม่คบค้ากับบริษัทเอกชนที่ค้าขายกับระบอบเผด็จการในเมียนมา ซึ่งรวมถึงการที่กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ได้ประกาศ ถอนการลงทุน จาก บมจ. ปตท. หรือ PTT และ บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR ฐานเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่รัฐบาล-กองทัพเมียนมา เป็นเจ้าของ อดีต จนท. ยูเอ็นชี้ เอกชนหลายชาติช่วยเมียนมาผลิตอาวุธปราบประชาชนรัฐประหารเมียนมา: 1 ปีผ่านกับงานการทูตที่ไทยเลือกแสดง“ถ้าฉันได้ยิงก่อน ฉันจะฆ่าแกไอ้ลูกชาย”บีบีซีไทย เลือกเรื่องราวของผู้คนที่พลัดถิ่นจากการปราบปรามสังหารประชาชน และการรักษาอำนาจของผู้นำเผด็จการ ผ่านภาพเหล่านี้ 1.      ฮาน เลสหราชอาณาจักรย์ มิสแกรนด์เมียนมา 2020 วัย 23 ปี ที่เริ่มชีวิตใหม่ในแคนาดากับครอบครัวผู้อพยพเชื้อสายเมียนมา หลังมาลี้ภัยชั่วคราวในไทย จนถูกตำรวจไทยคุมตัวไว้ชั่วคราวที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อ 21 ก.ย. 2022 โดยเธอได้รับแจ้งว่าอยู่ในรายชื่อบุคคลที่ต้องการตัวของตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพลรอยเตอร์รายงานขณะนั้นว่าเธอถูกห้ามเข้าไทยเมื่อ 21 ก.ย. หลังกลับจากเวียดนาม โดยอ้างว่าเธอใช้หนังสือเดินทางไม่ถูกต้อง ส่วนตัวเธอบอกกับบีบีซีแผนกภาษาพม่าว่าทางการเมียนมาแจ้งต่อทางการเวียดนามว่าหนังสือเดินทางของเธอสูญหาย และเมื่อเธอมาถึงไทย เธอก็ถูกห้ามเข้าประเทศ ในเวลาต่อมา ไม่กี่วันต่อมา เธอได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลแคนาดาให้ลี้ภัยทางการเมือง   ที่มาของภาพ, Reutersคำบรรยายภาพ, ฮาน เลย์ กับบ้านใหม่ในแคนาดา2.    จอ ซา มิน เอกอัครราชทูตเมียนมาประจำสหราชอาณาจักร ถูกปลดจากตำแหน่งเมื่อ 7 เม.ย. 2021 หลังผู้ช่วยทูตทหารได้เข้ายึดสถานทูตเมียนมาในกรุงลอนดอน และห้ามไม่ให้เขาเข้าไปในสถานทูต ซึ่งเป็นเหตุการณ์เผชิญหน้าทางการทูตในรอบหนึ่งเดือนหลังจากนายจ่อ ซา มิน แสดงท่าทีเห็นต่างจากรัฐบาลทหารด้วยการออกมาเรียกร้องให้ปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี ผู้นำรัฐบาลพลเรือนที่ถูกกองทัพยึดอำนาจและจับกุมตัวไปผ่านไปเกือบ 2 ปี เขายังพำนักอยู่ในทำเนียบทูตในกรุงลอนดอนที่มาของภาพ, Reutersคำบรรยายภาพ,  จอ ซา มิน เอกอัครราชทูตเมียนมาประจำสหราชอาณาจักร3.  ครูมัธยมต้นคนหนึ่งที่ไม่ขอเปิดเผยตัว เธอหลบหนีการจับกุมในเมียนมาร์เมื่อปีที่แล้วมาอาศัยอยู่ที่เมืองชายแดนไทย เธอเป็นหญิงตัวเล็กผมยาวสีดำ เธอเข้าร่วมกับแนวร่วมอารยะขัดขืน หรือ CDM ที่ผุดขึ้นหลังรัฐประหาร “ฉันรู้ว่าชีวิตฉันจะลำบากถ้าฉันเข้าร่วมกับขบวนการ” เธอกล่าวกับรอยเตอร์  “แต่ถ้าเราไม่ลุกขึ้นสู้ อนาคตของพวกเราก็จะไม่ปกติ”เธอเข้าร่วมการประท้วงบนท้องถนนโดยเครื่องแบบครูสีเขียวและสีขาว แล้วหลบหนีออกนอกประเทศหลังการปราบปรามผู้ประท้วง เช่นเดียวกับผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาจำนวนมากในประเทศไทย เธอไม่มีเอกสาร และใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อการถูกจับกุมเธอประทังชีพด้วยการถักกระเป๋าและเสื้อผ้า มีรายได้ไม่ถึงสัปดาห์ละ 350 บาท  และต้องอาศัยอาหารที่บริจาคมาจากรัฐบาลของฝ่ายต่อต้าน“ฉันจะเป็นสมาชิก CDM ไปจนจบ” เธอกล่าว “มนุษย์ต้องผ่านทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายไปให้ได้”เครื่องแบบครูสีเขียวและสีขาวของเธอถูกพับเก็บไว้อย่างเรียบร้อยในเมียนมา เผื่อเธอกลับไปรัฐประหารเมียนมา เหมือนหรือต่างกับลายพรางยึดอำนาจในไทยพบทรัพย์สินลูก มิน อ่อง หล่าย จากการบุกจับยาเสพติดใน กทม.ออง ซาน ซู จี ถูกจำคุกเพิ่ม 7 ปี ที่มาของภาพ, Reutersคำบรรยายภาพ, เธอประทังชีพด้วยการถักกระเป๋าและเสื้อผ้า มีรายได้ไม่ถึงสัปดาห์ละ 350 บาท4.  ผู้นำทหารไทยพบผู้นำรัฐประหารเมียนมา พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดขอไทย นำคณะทหารไทยเข้าร่วมหารือกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมาเมื่อ 20 ม.ค. ณ เมืองงาปาลี รัฐยะไข่ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือทางทหารระหว่างกองทัพไทย–เมียนมา ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย–เมียนมา รวมทั้งปัญหาเฉพาะอื่น ๆ เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตามแนวชายแดนทั้งสองประเทศเอกสารข่าวเผยแพร่ของกองทัพไทยระบุว่ากองทัพไทยยึดมั่นในการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงชายแดนที่เกี่ยวกับกองทัพไทย กับกองทัพประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะด้านเมียนมา ซึ่งมีเส้นเขตแดนติดกันมากที่สุดมีความยาวถึง 2,401 กิโลเมตร“มีความจำเป็นที่ทั้งสองกองทัพจะดำรงไว้ ซึ่งความสัมพันธ์ ให้เกิดความเข้าใจ และเป็นการป้องกันปัญหาในพื้นที่ชายแดนที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งในระดับประเทศ บรรยากาศการประชุมเต็มเปี่ยมไปด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ บนพื้นฐานของความจริงใจและความเข้าใจซึ่งกันและกัน” ที่มาของภาพ, Thai military handoutคำบรรยายภาพ, พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดขอไทย นำคณะทหารไทยเข้าร่วมหารือกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมาเมื่อ 20 ม.ค. ณ เมืองงาปาลี รัฐยะไข่

“ฉันไม่ใช่วีรสตรี ไม่ได้อยากสู้กับตำรวจไทย”Article informationAuthor, ทศพล ชัยสัมฤทธิ์ผลRole, ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย31 มกราคม 2023ที่มาของภาพ, Tossapol Chaisamritpol / BBC Thaiคำบรรยายภาพ, อัน อวี๋ฉิง ดาราสาวไต้หวัน ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย โดยมี บก.บีบีซีจีน ช่วยแปลภาษาหญิงสาววัย 30 ปีเศษ นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ พร้อมจัดท่วงท่าอย่างมั่นใจว่าขึ้นกล้องที่สุด เธอสวมชุดเดรสยาวสีขาว ผมยาวสีดำขลับเสยไปด้านหลัง“สวัสดีค่ะ ฉันอัน อวี๋ฉิง หรือเรียกว่า ชาลีน อัน ก็ได้” เธอทักทายบีบีซีไทยด้วยภาษาไทย สำเนียงจีน แต่ตลอดบทสนทนา เป็นภาษาจีนกลางสำเนียงไต้หวันทั้งหมดเธอคือนักแสดงหญิงชาวไต้หวัน ที่กำลังเป็นข่าวในสังคมไทยมากที่สุดในเวลานี้ หลังการเดินทางท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ กลายเป็น “ประสบการณ์ที่เลวร้าย” เพราะเธอโพสต์เล่าว่า เจอด่านและถูกตำรวจไทย “รีดไถเงินกว่า 27,000 บาท” บริเวณหน้าสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเช้าตรู่วันที่ 5 ม.ค. 2566 “ฉันออกมาให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อสร้างกระแส หรือกล่าวหาว่าตำรวจไทยกระทำผิด ฉันแค่ไม่อยากถูกใส่ร้ายป้ายสีอีกแล้ว” ชาลีน อัน กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกับบีบีซีผ่านโปรแกรมซูม“ฉันรู้ดีกว่า ท้ายสุด ความจริงของเรื่องนี้คงไม่มีวันกระจ่าง”สรุปดรามาดาราสาวไต้หวันถูกตำรวจรีดไถเงิน 27,000 บาท ประกาศ “ไม่เหยียบไทยอีก”ภาพเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร หลังนักท่องเที่ยวจีนแห่กลับมาเที่ยวแบบ VVIP : ปมจ้างตำรวจไทยนำขบวน นทท. จีน สะท้อนภาพปราบโกงล้มเหลวหรือไม่และนี่คือบทสัมภาษณ์พิเศษ ที่เธอประกาศว่าจะเป็น “ครั้งสุดท้าย” สำหรับประเด็นข่าวดังข้ามมหาสมุทร ที่เป็น “แผลใจ” ที่เธออยากให้ผ่านพ้นไปเสียทีบุหรี่ไฟฟ้า และกว่า 45 นาทีกับด่านตำรวจชาลีน อัน เริ่มด้วยด้วยการลำดับเวลาที่เธอเล่ามาแล้วหลายครั้ง แต่เธอระบุว่า ถูกสื่อบางสำนักและตำรวจ “บิดเบือนข้อมูล” จนทำให้หลายคนมองว่าเธอกำลังโกหก เรื่องมันเกิดเมื่อกลางดึกวันที่ 4 ม.ค. 2566 ที่เธอได้ไปเที่ยวไนต์คลับกับเพื่อนหลายคน “หลังจากเที่ยวไนต์คลับแล้ว ฉันช่วยเพื่อนเรียกรถแท็กซี่ก่อน ซึ่งจากช่วงที่รอรถ ไปจนสิ้นสุดเหตุการณ์กับตำรวจ ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง” ชาลีน อัน แก้ไขความเข้าใจผิด ที่สื่อบางสำนักรายงานว่า เธออยู่กับตำรวจนานกว่า 2 ชั่วโมงเรื่องเวลาที่แน่ชัดนั้น เธอไม่ขอแสดงความเห็น เพราะเวลานั้น เธอมีเพียงโทรศัพท์มือถือ และไฟส่องสว่างบริเวณนั้นไม่มากนัก ทำให้กะเวลาไม่ได้ แต่คิดว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงเวลาตี 1 ถึงตี 3 ของวันที่ 5 ม.ค.ที่มาของภาพ, .คำบรรยายภาพ, ภาพที่สำนักข่าวหลายแห่งรายงานว่าเป็นบุหรี่ไฟฟ้า ขณะที่ ชาลีน อัน บอกกับบีบีซีไทยว่า ตำรวจยัดบุหรี่ไฟฟ้าให้เธอ ก่อนบันทึกภาพ“เราเจอด่านตำรวจ ก้าวลงมาจากรถ แล้วถูกตำรวจตรวจกระเป๋า” เธอเล่าถึงข้อมูลที่เคยปรากฏในหน้าสื่ออยู่แล้ว แต่ยืนกรานว่า พยายามขอให้เพื่อนบันทึกการกระทำของตำรวจ แต่ถูกตำรวจเดินเข้ามาห้าม แล้วลบภาพและวิดีโอออกไป “เพื่อนของฉัน (คนสิงคโปร์) พอรู้ภาษาไทย เลยไปคุยกับตำรวจ ฉันอยู่ตรงนั้นตอลด แต่ฉันไม่ค่อยเข้าใจภาษา เพื่อนฉันบอกว่า ตำรวจต้องการเงิน 27,000 บาท” แต่สิ่งที่ ชาลีน อัน ไม่คาดคิดคือ ตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้ามายัดใส่มือเธอแล้วถ่ายรูป ก่อนจะเรียกแท็กซี่ให้เธอยังยืนกรานว่า “ฉันรู้ตัวดีว่าไม่ได้เมา และแน่นอนว่า ฉันไม่มีบุหรี่ไฟฟ้าอยู่กับตัวเวลานั้น คนอื่นมีหรือเปล่าฉันไม่รู้…แล้วฉันก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้านั่นไม่ใช่ของฉัน เพราะตำรวจลบภาพและวิดีโอไปหมด”ก่อนที่ตำรวจจะปล่อยเธอและเพื่อนไป ได้ให้เหตุผลว่า เพราะพวกเธอดูไม่ใช่คนอันตราย “แต่ถ้าฉันไม่ใช่คนอันตราย ทำไมยื้อฉันไว้กว่า 45 นาที”“สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ คือ ฉันต้องให้ความร่วมมือ … เราอาจกระทำอะไรผิดพลาดไปโดยไม่ตั้งใจก็ได้ แต่ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยี ทำไมตำรวจไม่ใช้ Google Translate ช่วยแปลภาษา ทำไมไม่ออกใบสั่งมาอย่างถูกต้อง”“กลายเป็นว่าตำรวจให้เราจ่ายเงิน แล้วเลี่ยงกล้องวงจรปิดด้วย ความจริงเลยขึ้นอยู่กับว่าสังคมจะตีความยังไง แต่พวกเราทุกคนมีคำตอบในใจอยู่แล้ว”ส่วนภาพที่ปรากฏให้เห็นว่า เธอไปเดินตลาดกลางคืนแถวห้วยขวางต่อ หลังผ่านพ้นด่านตำรวจไปแล้วนั้น ชาลีน อัน อธิบายว่า พวกเธอวางแผนจะไปทานอาหารที่ร้านอาหารในแถบนั้นอยู่แล้ว และตลาดแห่งนั้นก็อยู่ใกล้กับร้านอาหารคำชี้แจงที่วกวนของตำรวจนับแต่โพสต์ของชาลีน อัน กลายเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทย ตำรวจไทยประกาศสอบสวน และออกมาแถลงข่าวชี้แจงหลายครั้ง โดยมีลำดับเวลา ดังนี้27 ม.ค. – พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ยืนกรานว่ามีการตั้งด่านจริง บริเวณหน้าสถานทูตจีน พร้อมชี้แจงว่า พบนักท่องเที่ยวต่างชาติพกบุหรี่ไฟฟ้า เจ้าหน้าที่จึงแจ้งว่าผิดกฎหมาย แต่คุยไม่เข้าใจภาษา เพราะพูดภาษาจีน และมีการอัดเสียงไว้ แต่ยังหาไม่เจอ29 ม.ค. – พล.ต.ต.จิรสกฎหมายันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนคบาล 1 (ผบก.น.1,) พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผู้กำกับการ (ผกก.) สน.ห้วยขวาง ร่วมแถลงข่าวกรณี ดาราสาวชาวไต้หวันอ้างว่า ถูกตำรวจตั้งด่านรีดทรัพย์ ตอนนี้ ได้สอบพยานไปแล้วกว่า 10 คน แต่ยังไม่พบหลักฐานว่ามีการเรียกร้บเงิน 30 ม.ค. – พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการด่วน ให้ ผบช.น.สั่งผกก.สน.ห้วยขวาง ไปช่วยราชการ ที่ไหน ??? หลังจากมีข้อมูลว่ามีตำรวจเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกรณีนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันถูกเรียกรับเงิน พร้อมกำชับ น.1 ดำเนินการตั้งกรรมการวินัยร้ายแรงและดำเนินคดีอาญาในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำความผิดในเหตุดังกล่าวทุกราย อย่างเด็ดขาด มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง”30 ม.ค. – พล.ต.ต. นิตินันท์ เพชรบรม รอง ผบช.น. ปฏิบัติหน้าที่งานด้านจเรตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง 5 นายจาก 14 นายมาสอบปากคำ โดยปฏิเสธเรื่องรับเงิน แต่รายละเอียดอื่น ๆ ยังไม่เปิดเผยขณะที่ บีบีซีไทยได้สอบถามสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ถึงความเห็นในเรื่องนี้ ได้รับการตอบกลับว่า”สำนักงานฯ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เมื่อทางการไทยขอให้ช่วยเหลือในการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว สำนักงานฯ ได้ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องและให้ความช่วยเหลือตามสมควร””สำนักงานฯ ขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับสิทธิประโยชน์สำคัญของนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน เนื่องจากเหตุการณ์นี้ยังอยู่ในช่วงสืบสวนสอบสวน สำนักงานฯ จะเคารพเจตจำนงของนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน รวมทั้งกระบวนการตรวจสอบและผลการตรวจสอบของตำรวจไทย”ที่มาของภาพ, ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์คำบรรยายภาพ, นายชูวิทย์ โทรสดถึงเพื่อนชาวสิงคโปร์ของชาลีน อัน ที่ยืนยันว่าเขาเป็นคนจ่ายเงิน 27,000 บาทให้ตำรวจจริงบีบีซีไทยเล่าถึงความคืบหน้าของประเด็นนี้ให้ ชาลีน อัน ฟังเพื่ออัพเดทสถานการณ์ โดยเธอกล่าวเพียงว่า “ฉันคิดว่าทุกคนมีคำตอบในใจแล้ว อยู่ที่ใครจะตัดสินอย่างไร “ฉันไม่ใช่วีรสตรี ไม่ได้อยากต่อสู้กับตำรวจไทย” ชาลีน อัน กล่าวผ่านการสัมภาษณ์ทางไกลจะไม่กลับมาไทยอีกจริงหรือชาลีน อัน เคยโพสต์ข้อความที่ใช้ถ้อยคำเต็มไปด้วยความรู้สึกว่า “ไม่คิดเลยว่า ไปเที่ยวปีใหม่ที่ไทยหวังเจอประสบการณ์ดี ๆ แต่กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายและน่ากลัวที่สุดในชีวิต และฉันจะไม่ไปเหยียบเมืองไทยอีก” และ “ลาก่อน กรุงเทพห่วย ๆ” บีบีซีไทยสอบถามเธอว่า จะไม่กลับมาประเทศไทยอีกจริงหรือ, ชาลีน อัน ตอบว่า ตอนที่กล่าวว่า “จะไม่เหยียบไทยอีก” คือความรู้สึกหลังผ่าน “สิ่งเวลาร้ายมา” แต่ตอนที่โพสต์นั้นถึงเวลานี้ ได้ผ่านผ่านมาเกือบเดือนแล้ว “พอมาทบทวนตัวเอง ฉันคิดว่าฉันคงเคยทำกรรมมา เลยต้องมาเจออะไรแบบนี้” ชาลีน อัน เล่า พลางกุมมือขึ้นกลางอก “ถ้ามีโอกาส ฉันจะกลับไปไทยอีกในอนาคต”ที่มาของภาพ, Chalene An คำบรรยายภาพ, ชาลีน อัน เคยประกาศว่า “จะไม่เหยียบไทยอีก”  “ฉันยังรักประเทศไทย… ฉันยังชอบหลายอย่างในไทย ไทยมีสถานที่สวยงามมากมาย วัฒนธรรมทรงคุณค่า และอาหารที่อร่อย”แต่เธอย้ำว่า ในเวลานี้ คงยังไม่กลับมาไทย เพราะ “ฉันกลัว ฉันกลับมาไต้หวันได้อย่างปลอดภัย แล้วถ้าให้กลับไปไทยแล้วเจออะไรแบบนี้อีก ฉันก็กลัว”นักท่องเที่ยวคนธรรมดาตลอดการสัมภาษณ์นานกว่า 30 นาที ชาลีน อัน ย้ำกับบีบีซีไทยตลอดว่า เธอเป็นเพียง “นักท่องเที่ยวธรรมดา” คนหนึ่ง ที่ต้องการแบ่งปันประสบการณ์ที่แปลกประหลาดและเลวร้ายสำหรับตัวเธอ เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติคนอื่น ๆ ที่เดินทางไปประเทศไทย โดยเฉพาะคนเอเชีย และคนที่พูดภาษาจีนกลางเป็นหลัก “ฉันอยากแบ่งปันเรื่องราวของฉัน ทุกคนจะได้ตระหนักว่ามีภัยอันตรายแบบนี… ฉันก็แค่คนธรรมดา ฉันต่อสู้รัฐบาลหรือประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ได้ ฉันแค่นักท่องเที่ยวที่อยากบอกเล่าเรื่องที่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก”ดาราสาวชาวไต้หวันยังเชื่อว่า เธอเป็นเพียงหนึ่งใน “เหยื่อ” เพราะเชื่อว่า มีคนไทยและชาวต่างชาติอีกจำนวนมาก ที่เผชิญเรื่องราวที่เลวร้ายเหมือนกับเธอ ที่มาของภาพ, Chalene Anคำบรรยายภาพ, “หวังว่าเรื่องราวของฉันช่วยให้ไทยดีขึ้นได้ ช่วยตีแผ่สิ่งที่คนธรรมดาต้องเผชิญ” ชาลีน อันอีกปัจจัยที่เธอคิดว่าทำให้คนไทยสนใจกับโพสต์แบ่งปันประสบการณ์ของเธอ คือ กรณีข่าวนักท่องเที่ยวหญิงจีน “เที่ยวไทยแบบ VVIP”“ฉันไม่รู้ว่าทำไมเรื่องนี้ถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ มีข่าวนักท่องเที่ยวจีนจ่ายเงินใช้บริการรถตำรวจไทยได้ แล้วก็มาเกิดเรื่องของฉันอีก”กรณีเที่ยวไทยแบบ “VVIP” คือ ปมจ้างตำรวจนำขบวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางจากสนามบินถึงที่พัก ที่ต้นตอมาจากนักท่องเที่ยวสาวจีนที่โพสต์คลิปดังกล่าวลงใน Douyin หรือ ติ๊กต่อก ในประเทศจีนคลิปดังกล่าวมีความยาวราว 2 นาที นักท่องเที่ยวสาวชาวจีน อธิบายการทดสอบใช้บริการตำรวจไทยว่าใช้เงินซื้อได้ทุกอย่างตามคำร่ำลือจริงหรือไม่ ในคลิปดังกล่าวยังมีภาพตำรวจไปรับถึงประตูเครื่องบิน เดินนำทาง ยกกระเป๋า เปิดประตูรถให้ ขับรถนำเปิดไฟฉุกเฉินไซเรน ในรูปแบบการบริการแตกต่างตามลักษณะพาหนะนำขบวน เช่น หากเป็นรถจักรยานยนต์สนนราคา 6,000 บาท และหากเป็นรถยนต์ราคาอยู่ที่ 7,000 บาทสำหรับชาลีน อัน แล้ว ความสนใจในเรื่องราวของเธอ ไม่ใช่เรื่องที่เธอภาคภูมิใจ เพราะการต้องพูดถึงประสบการณ์อันเลวร้าย “ซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งทำให้บาดแผลในใจฝังลึก” แต่ถ้าเรื่องราวของเธอจะช่วยตีแผ่ปัญหานี้ และเป็นอุทาหรณ์ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติระมัดระวังตัวมากขึ้น, ชาลีน อัน ก็ดีใจ“หวังว่าเรื่องราวของฉันช่วยให้ไทยดีขึ้นได้ ช่วยตีแผ่สิ่งที่คนธรรมดาต้องเผชิญ” และ “ถ้าสิ่งเลวร้ายแบบนี้หายไป ฉันจะกลับไปไทยอีก”